อย่าดูถูกประชาชน..มากไป
นำเข้าเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2561 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58517]  

.....

 ** หมกทุกเม็ด!! รัฐตะแบงราคาพลังงานต้องอิงตลาดโลก เจอ “รสนา”ตอกหงาย ที “เอทานอล”แพงกว่าประเทศอื่นเกือบเท่าตัว แฉอีกควัก “กองทุนน้ำมัน”ชดเชย “น้ำมันอี85-อี20” เหมารวม “ค่าการตลาด”ลงไปด้วย กลายเป็น “ค่าใช้จ่ายเทียม” ที่เป็น “กำไรแท้ๆ”ของ "นายทุน" อีกแล้ว

แฉกี่ชาติก็ไม่หมด .. บอกแล้ว “วิกฤตราคาพลังงานขาขึ้น”รอบนี้ มีข้อดีไม่น้อย กับการเปิดโปง “เบื้องหลัง” ราคาน้ำมัน-ก๊าซแพง ที่ไล่เรียงกันได้เป็นฉาก .. ไม่ว่าจะเป็น กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ที่แสนจะล้าสมัย ปีๆ นึงเก็บล้วงกระเป๋าคนไทยไปได้เป็นหมื่นล้าน .. ก่อนถูกนำไปผลาญใช้ทิ้งใช้ขว้าง กับโครงการอนุรักษ์นู่นนี่ ที่ไม่เคยทำได้จริง แล้วบางส่วนรัฐยังมีหน้ามาหยิบยืมเอาไปหมุนก่อน ทั้งที่เป็น “เงินประชาชน”ล้วนๆ .. หรือการจำหน่ายน้ำมันที่อิงราคาจากตลาดสิงคโปร์ อิงอย่างเดียวไม่ว่า พวกเล่นบวก "ค่าขนส่ง-ค่าประกันภัย-ค่าใช้จ่ายนำเข้า" ทั้งที่กลั่นกันเองในประเทศ .. เป็น “ค่าใช้จ่ายเทียม” ที่ตีขลุมลงไปใน “ราคาเนื้อน้ำมัน” แล้วก็อ้างว่าส่วนนี้เป็นต้นทุน แตะต้องไม่ได้ .. ทั้งที่จริงแล้ว “ค่าใช้จ่ายเทียม” ที่อุปโลกน์ขึ้นมา กลายเป็น “กำไรแท้ๆ”ของ “บริษัทน้ำมัน” ที่ปล้นไปจากคนไทยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว .. กระทั่ง “ก๊าซหุงต้ม” ที่ปล่อยลอยตัวจนขึ้นพรวดๆ ก็ดูดขึ้นมาจากอ่าวไทย และแยกเป็นก๊าซในประเทศแทบจะ 100% .. แต่เจ้าประคุณรุนช่อง ไปอ้างนู่น ราคานำเข้าจากซาอุดิอาระเบีย บวก “ค่าขนส่งเทียมๆ” จากตะวันออกกลางมาขายคนไทยเช่นกัน .. แล้วในขณะที่ตะแบงว่า ราคาน้ำมันในไทยแพงหูฉี่ ก็เพราะต้องอิงราคาตลาดโลกบ้าง อิงราคาโรงกลั่นสิงคโปร์บ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวน หรือเก็งกำไร .. กลับกลาย “หนังหักมุม” ขึ้นมาทันที เมื่อ รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. ออกมาถามตรงๆ ว่า แล้วเหตุใดเอทานอล ถึงไม่อิงราคาตลาดโลกบ้าง ..

รสนา โตสิตระกูล และ ศิริ จิระพงษ์พันธ์

เชื่อไหมว่า “เอทานอล”ที่ผลิตในไทย 100% ราคาแพงกว่าทางทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้ ร่วมเท่าตัว ในไทยขายราว 24 บาท/ลิตร ที่ชิคาโกขายไม่ถึง 13 บาทต่อลิตร ส่วนที่บราซิลแพงหน่อย ก็ไม่เกิน 15 บาทต่อลิตร .. “รสนา” ระลึกชาติให้อีกว่า ในอดีตไทยเคยอ้างอิงราคาเอทานอล จากบราซิล บวกค่าขนส่งเทียมอีก 5 บาท ทั้งที่ผลิตเอง 100% .. พอราคาเอทานอลถูกลงมาก ก็มีผู้หวังดีเปลี่ยนสูตรอิงตลาดโลก มาใช้ราคา”ที่แท้จริง” ที่แพงกว่า .. “เอทานอล” ที่ว่าเนี่ยก็เอามาผสมน้ำมันเบนซิน กลายเป็น “น้ำมันรักษ์โลก” อีนั่น อีนี่ สูตรผสมแยะ ก็ต้นทุนแพง สูตรไหนผสมน้อย ก็ถูกหน่อย .. และด้วยความที่ภาครัฐจั้งราคาเอทานอลแพงกว่าน้ำมัน แต่ต้องสนับสนุน “น้ำมันรักษ์โลก” ก็ต้องควักเงินจาก “กองทุนน้ำมัน”ไปชดเชย ปัจจุบัน “อี 85” โปะอยู่ลิตรละ 9.35 บาท ส่วน อี 20 ต้องโปะลิตรละ 3 บาท .. โอเค อ้างว่าส่งเสริมเกษตรกร ไม่ว่ากัน แต่ที่เอากองทุนน้ำมันที่เป็น “เงินประชาชนล้วนๆ” ไปชดเชย ก็ไม่ใช่แค่ค่าเอทานอล แต่เหมารวม “ค่าการตลาด”ที่สูงเว่อร์ไปด้วย .. เรียกว่า “บริษัทน้ำมัน” ที่มีกิจการ “โรงกลั่น”ฟันกำไรเหนาะๆ เหมือนได้อภิสิทธิ์จากรัฐบาลที่ “แกล้งโง่”ไปเดินล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชนแบบดื้อๆ .. ถามย้ำอีกครั้งว่า เรื่องพิสดารแบบนี้ ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน หรือ "นายกฯ ตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยผ่านงาน “ไทยออยล์” มาก่อนไม่รู้หรือ .. เช่นเดียวกับ มนูญ ศิริวรรณ อดีตบิ๊กบางจาก ที่ตอนนี้เป็นกระบี่มือหนึ่ง ไล่ฟาดฟันใน “สงครามไอโอ”อยู่ ไม่คิดจะเอ่ยถึง “ค่าใช้จ่ายเทียม” ที่เป็น “กำไรแท้ๆ”ของโรงกลั่นบ้างหรือ

 

มนูญ ศิริวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

** เขมือบสองเด้ง!! “เสือเงียบ” ฟาดค่าตั๋ว “โรงไฟฟ้าทางเลือก”ราคาเดิม “เมกละโล” เพิ่มเติมต้องให้ “ลูกชาย-ภรรยาน้อย”ถือ “หุ้นลม” เป็นออปชั่นเสริม คงขายตั๋วเพลินไปหน่อย โควต้าซื้อไฟฟ้าชีวมวลจังหวัดชายแดนใต้ ถึงบวมจาก 36 เมกฯ เป็น 300 เมกฯ ไปได้ 

เมกละโล .. เสียงยืนยันจาก “ผู้ประกอบการ” โรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก-พลังงานหมุนเวียน ที่คอนเฟิร์มว่า ยัง “ราคาเดิม” เหมือนสมัยธุรกิจแขนงนี้เริ่มบูมเมื่อหลายปีก่อน .. “เมกละโล” ที่ว่า คือราคา “ค่าต๋ง-ใต้โต๊ะ” สำหรับการขอ “ใบรับซื้อไฟ” Power Purchase Agreement หรือ PPA สำหรับผลิตไฟฟ้าทางเลือก ที่ในวงการเรียกขานกันคุ้นหูว่า “ตั๋ว”.. ตามที่ทราบกันธุรกิจประเภทนี้ มีเงินถุง เงินถังจากไหน ใช่ว่าจะดุ่มๆ มาสร้างโรงงานปั่นไฟขายกันได้ง่าย .. ขั้นตอนมีเพียบ หลักๆ ก็มีการขอใบอนุญาตผลิต ใบอนุญาตรับซื้อไฟฟ้า และใบอนุญาตสร้างโรงงาน (รง.4) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม .. แต่ละขั้นตอนมี “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” เป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว แต่จุดชี้ขาดว่าจะได้โรงไฟฟ้าอยู่ที่ “ใบรับซื้อไฟ” จากหน่วยงานภาครัฐต่างหาก .. “เมกละโล” หรือ “แบงก์พัน ปึกละพันใบ”ที่หนัก 1 กิโลกรัมพอดี คือราคาค่างวดสำหรับ “ตั๋ว”ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับว่า “จ่ายให้ใคร” ..

โรงไฟฟ้าชีวมวล

ในช่วงที่ธุรกิจแขนงนี้เริ่มเข้ามาในประเทศไทย โควตาทั้งหมดอยู่ที่ “กระทรวงพลังงาน” โดยมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมพิจารณา .. แต่ในระยะหลังๆ มีการผ่องถ่ายให้หน่วยงานอื่นๆ เป็น “ผู้ถือโควตา” เพื่อนำไปบริหารจัดการ หารายได้อุดหนุนจุนเจือองค์กร หรือท้องถิ่น .. ที่คุ้นหูก็จะมี “โซลาร์ฟาร์ม” ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หรือ “โซลาร์ฟาร์ม”ของสหกรณ์ภาคการเกษตร .. แต่ยุคที่ รมว.พลังงาน ชื่อ ศิริ จิระพงษ์พันธ์ สร้างผลงานชิ้นโบว์แดง เขย่าแผน “พลังงานทดแทน”ใหม่ สั่งหยุดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากภาคเอกชนเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี .. ปูทาง “โครงการพลังงานทดแทนทั้งจากขยะ-ชีวมวล” มูลค่าร่วมแสนล้าน “วาระแห่งชาติ”ของรัฐบาล คสช. .. ที่อยู่ภายใต้ความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงมหาดไทย ที่มี “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นเสนาบดี ให้ได้ผงาดอย่างไร้คู่แข่ง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

.. ช่วงนี้ถนนทุกสายก็เลยวิ่งตรงไปที่ “คลองหลอด” แบบหัวกระไดไม่แห้ง กลายเป็นทีของ “เสือเงียบ”ที่ส่ง “ลูกเสือ” ออกมาตั้งโต๊ะเป็นกิจลักษณะ .. ใครอยากเข้าพบ ต้องหอบกระเป๋าหนักเกือบ 10 กก. มาทุกราย ใครเอาเยอะหน่อย ก็ต้องแบกมาหลายสิบโล .. ก็ด้วยแต่ “โรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก” จะมีทริคเหมือนๆ กัน ในการกำหนดกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ .. เพื่อเลี่ยงกฎระเบียบในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังเกตได้ว่า แทบทุกแห่งจะขอจับจองกันที่ “กำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์” .. ถ้าเอาราคาเต็ม ก็ต้องจ่ายกันที่ 10 กก. แต่ระยะหลังมีโปรโมชันส่วนลดเล็กน้อย จ่ายกันอยู่ที่ “8 กก.” ต่อโรง .. โดยมีออปชั่นเสริม ต้องกัน “หุ้นลม” ให้บางส่วน เพื่อเป็นรายได้ในระยะยาว หลังจากที่แต่ละโรงไฟฟ้าเดินเครื่องได้ .. ดูเหมือนโดนเอาเปรียบ แต่เชื่อไหมว่า ใครๆ เต็มใจจ่าย แค่ขอเข้าไปถือตั๋วผลิตไฟฟ้า โอกาสเจ๊งแทบเป็นศูนย์ .. ก็เมื่อผลิตได้ มีภาครัฐเป็นผู้ซื้อแน่นอน ที่สำคัญยังมี “ค่าแอดเดอร์” เป็นเครื่องล่อใจ การันตีไม่ขาดทุน .. รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าได้แปลกใจเลยว่า ทำไมเป้าการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เคยมีมติรับซื้อ แค่ 36 เมกะวัตต์ แต่ตอนกลับมาให้ ครม.ลงมติ ถึงถูกตีโป่งขึ้นมาถึง 300 เมกะวัตต์ไปได้ ในอารมณ์ “ขายตั๋วเพลินไปหน่อย” .. และแม้ “ภาคเอกชน” จะเต็มใจจ่าย แต่ก็ออกมาบ่นอุบถึง “ความเขี้ยว”ของ “เสือเงียบ” กันถ้วนหน้า .. แล้วยังเม้าต์ อีกว่า ปกติจะใช้ “ลูกชาย” ตั้งโต๊ะ แต่หากไม่สะดวก ก็จะวาน “ภรรยาน้อย” ไปตั้งโต๊ะนอกสถานที่แทน .. เช่นเดียวกับ “หุ้นลม” ที่แบ่งสัดส่วนให้ “ลูกชาย” กับ “ภรรยาน้อย” เป็นผู้ดูแลแทน .. เรื่องลับๆ แบบนี้ คุยกันทั่วคุ้ง ทั่วแคว รู้กันทั่ว “วงการพลังงาน” ได้ยินแบบนี้แล้ว “บิ๊กป๊อก” ก็ไม่น่าเฉย ปล่อยโครงการที่ตัวเองดูแล แปดเปื้อนเช่นนี้เลย 

 

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้