ทุจริตเงินทอนวัด นำเข้าเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2560 โดย จุฬา ศรีบุตตะ อ่าน [58533]
ทุจริตเงินทอนวัด ควรเลิกอุดหนุนพระเกินพอ
หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
กรณีเงินทอนวัดที่เป็นข่าวอื้อฉาวและพัวพันทั้งวัด พระ และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น อธิบายง่ายคือ เป็นการร่วมมือกันระหว่างพระกับเจ้าหน้าที่ โดยพระจะขอเงินสนับสนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในส่วนของเงินที่เรียกว่า งบอุดหนุน โดยอ้างวัตถุประสงค์ 3 ทางคือ เพื่อไปปฏิบัติบูรณะซ่อมแซม เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อการเผยแผ่ ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา.....
โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาได้รับงบประมาณทั้ง3ด้านนี้ประมาณปีละ2000ล้านบาท 1.เงินเพื่อการปฏิสังขรณ์วัด มีประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี 2. เงินเกี่ยวกับการศึกษาของพระเณร (เงินพุทธศึกษา) ประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี โดยส่วนนี้อาจเกิดทุจริตได้แต่ไม่มาก จะมีที่ขาดเหลือ เพราะจะมีชื่อจำนวนพระเณรที่ศึกษา 3. เงินอุดหนุนเพื่อการจัดกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา 400-600 ล้านบาทต่อปี
จากนั้นก็ข้อมีข้อตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระว่าหากได้งบมาวัดจะรับเงินไปประมาณ25%ส่วนเจ้าหน้าที่รับไป75%เราจึงเรียกเงินนี้ว่า เงินทอนวัด เมื่อพระต้องการเงินเท่าไหร่ก็ทำเรื่องเพื่อขอเกินความเป็นจริง แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทำเรื่องเสนอไปเมื่อได้เงินแล้วพระก็รับไปตามจำนวนที่ต้องการ ที่เหลือเจ้าหน้าที่ก็รับไปเป็นความร่วมมือฉ้อฉลระหว่างพระกับเจ้าหน้าที่ ไม่รู้ว่าพระต้องจำยอมเพื่อต้องการเงินมาใช้จ่ายในวัดจริงหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเป็นการร่วมมือกันทุจริตเงินแผ่นดินนั่นเอง
สะท้อนว่าสังคมไทยนั้นการทุจริตคอร์รัปชั่นโกงกินไปทุกย่อมหญ้าลามลงไปถึงแม้กระทั่งพระที่เป็นผู้ทรงศีลและมีหน้าที่สอนให้คนมุ่งกระทำความดี
เมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจพบจึงส่งเรื่องให้กองบังคับการตำรวจปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ป.ป.ป.) เข้าไปตรวจสอบลอตแรกพบการทุจริตจำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 55-60 ความเสียหายประมาณ 141 ล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้องเข้าข่ายความผิด 19 คน โดยมีชื่อนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และพระผู้ใหญ่ 4 รูป เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่เมื่อผมสนใจเข้าไปค้นข้อมูลด้านนี้ ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากเลยครับว่า ทุกวันนี้มีวัดเกิดใหม่ปีละประมาณ300กว่าวัด เกือบจะพูดได้เลยว่าใน1วันมีวัดเกิดขึ้นใหม่1วัด เช่นในช่วง10ปีเฉพาะวัดที่มีพระสงฆ์ พ.ศ.2551มีวัด 35,616วัด พ.ศ.2552มีวัด36,412วัด พ.ศ.2553มีวัด 37,075วัด พ.ศ.2554มีวัด37,331วัด พ.ศ.2555มีวัด 37,713วัด พ.ศ.2556มีวัด 37,713วัด พ.ศ.2557มีวัด 38,984วัด พ.ศ.2558 มีวัด39,481วัด โดยมีวัดที่อยู่ระหว่างขออนุญาตจัดตั้งอีก2,000วัด จำนวนนี้ยังไม่รวมกับวัดร้างประมาณ5-6,000วัด โดยมีพระสงฆ์และสามเณรเฉลี่ยประมาณ3แสนกว่ารูปตลอด10ปีที่ผ่านมา
ในจำนวนวัดที่มีอยู่มีข้อมูลว่ามีเพียง5% ที่ประชาชนนิยมเข้าไปทำบุญเกื้อหนุนแบบอู้ฟู้ศรัทธาล้น ซึ่งเราก็ลองนึกชื่อวัดดังๆนั่นเอง
คำถามว่า ทำไมวัดถึงเกิดขึ้นได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือ แล้วปัจจุบันเมื่อเทียบสัดส่วนพลเมืองกับวัดมันยังไม่เพียงพอหรือ ทำไมเราต้องสร้างวัดขึ้นมามากมาย ในเมื่อบางวัดมีจำนวนภิกษุและสามเณรที่น้อยมาก จากข้อมูลที่มีการศึกษามาพบปัญหาการขาดแคลนพระภิกษุนอกเขตเมือง เช่น ตำบล หมู่บ้าน ในแต่ละวัดจะมีพระภิกษุอยู่ประจำน้อยรูป คือประมาณ 1-4 รูป ส่วนมากจะมีเพียงรูปเดียวคือเจ้าอาวาสหรือรักษาการเจ้าอาวาส บางวัดขาดพระภิกษุที่จะอยู่ประจำตลอดทั้งปี แต่ชุมชนก็มีวิธีจัดการเพื่อให้มีพระภิกษุอยู่ประจำภายในพรรษา โดยไปนิมนต์จากท้องที่อื่นหรือวัดอื่นที่พอมีพระภิกษุสามเณรอยู่บ้างมาจำพรรษา จะเห็นได้ว่า หลายวัดหากเราต้องการนิมนต์พระมาทำบุญ9รูปก็ไม่สามารถนิมนต์มาได้เลยเพราะมีพระไม่เพียงพอ
วัดส่วนใหญ่ขาดแคลนพระหรือมีพระจำพรรษาอยู่น้อย ในจำนวนประชากรสงฆ์ 3แสนกว่ารูปนั้นส่วนใหญ่เป็นการบวชระยะสั้น7-15วันจำนวนมาก แต่มีวัดเกิดใหม่ทุกวันมันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอย่างมาก
หลายวัดมีอาณาบริเวณที่กว้างขวางเกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชากรสงฆ์และกิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติจนเลยความพอดีและพอเพียงไปมาก โดยปกติและวัดกับสงฆ์นั้นมักจะได้รับการเกื้อกูลจากบ้านอันเนื่องมาจากความศรัทธา โดยหลักของพระพุทธศาสนาแล้วน่าจะมุ่งกันเพียงพออยู่พอกิน ไม่สะสม แต่กลายเป็นว่าหลายวัดมุ่งสะสมและสร้างอาคารวัตถุใหญ่โตๆขึ้นมา จนเกิดเป็นรายจ่ายจำนวนมากแล้วต้องดิ้นรนหารายได้มาทุกวิถีทาง
เราคงได้ยินได้ฟังข่าวว่าพระบางรูปเมื่อถึงแก่มรณะภายหลังไปตรวจพบมีเงินสะสมไว้ในกุฏิจำนวนมาก
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมแต่ละวัดต้องมีการทำบุญทอดกฐินกันทุกปี และประเพณีการถวายผ้ากฐินได้เปลี่ยนไป กลายเป็นการถวายเงิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างถาวรวัตถุนั่นเอง แล้วถ้าเราไปตามต่างจังหวัดเราจะเห็นว่าวัดต่างๆจะปักป้ายเชิญชวนไปร่วมงานฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมาจำนวนมาก โดยจัดไปพร้อมกับงานรื่นเริงต่างๆซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นการจัดงานที่ร่วมมือกันระหว่างพระกรรมการวัดและออกาไนเซอร์ที่คอยเดินสายรับจัดงานแบบวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งนั่นเอง
แล้วทุกวันนี้คนก็สนับสนุนให้พระเดินในสายที่พ้นจากหลักการของพระพุทธศาสนามาก ชื่นชมพระที่สร้างถาวรวัตถุใหญ่ๆโตๆจนเกินหลักของความพอดีพอเพียงไปมาก นอกจากนั้นเองเรายังพบว่าพระบางรูปปัจจุบันเป็นนักสะสมทั้งที่เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นสะสมรถโบราณก็มี ทั้งๆที่สำหรับพระแล้วมีความจำเป็นเพียง8ประการที่เราเรียกกันว่า อัฐบริขาร8คือ 1. ผ้าจีวร 2. ผ้าสังฆาฎิ 3. ผ้าสบง 4. ประคดเอว 5. มีดโกน 6. บาตร 7. เข็มเย็บผ้า 8. ธมกรก (เครื่องกรองน้ำ)เท่านั้นเอง แต่ก็เข้าใจนะครับว่า โลกมันหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามหลักการของโลกานุวัตรเมื่อมีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นพระก็อาจจำเป็นต้องมีแต่น่าจะเป็นไปอย่างพอดีไม่ล้นไปจนเกินความเป็นพระที่ต้องยึดมั่นในสันโดษ
เพราะถ้าพระยึดมั่นในสันโดษแล้วทุจริตเงินทองวัดก็คงไม่เกิดขึ้น
คำว่า สันโดษ หมายถึงความยินดีด้วยของของตนด้วยเรี่ยวแรง และความเพียรโดยความชอบธรรม ความยินดีด้วยปัจจัย 4 ตามมีตามได้ ความรู้จักอิ่ม รู้จักพอ แบ่งออกได้เป็น 3 ประการดังนี้
1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ หมายความว่าตนหาสิ่งใดได้มาด้วยความเพียรอันชอบธรรม ก็ยินดีในสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ทั้งไม่เดือดร้อนเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้มา และไม่ริษยาคนอื่นเขา
2. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังคือตนทำเต็มที่ตามศักยภาพที่มีอยู่ และได้มาแค่ไหนก็ยินดีแค่นั้น ไม่ยินดีอยากได้เกินกำลัง
3. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควรหมายถึงยินดีตามที่เหมาะสมกับตน ทั้งในแง่ของเพศภาวะ ฐานะทางสังคมและแนวทางการดำเนินชีวิต
โดยปกตินั้นวัดกับบ้านนั้นมีการพึ่งพาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันวัดจะอยู่ได้ถ้าบ้านเกื้อกูล เป็นศรัทธาอาศัยระหว่างกันและกัน ไม่จำเป็นต้องแสวงหาเงินทองมากมายมาเข้าวัดมีแต่เพียงความจำเป็นไม่สร้างถาวรวัตถุมากมายในวัด เพราะเมื่อถาวรวัตถุมากขึ้นรายจ่ายก็มากขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นพระต้องดิ้นรนหาเงินหาทองมาเข้าวัด จนกลายเป็นนักธุรกิจพระก็มีมาก บางรูปก็สร้างเครื่องรางของขลังมาหาประโยชน์โดยอาศัยความงมงายของพุทธศาสนิกชนเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน บางวัดทำธุรกิจฌาปนกิจศพจนคนจนไม่มีปัญญาเผา
พระบางรูปใช้เงินเพื่อการไต่เต้าไปสู่สมณศักดิ์ที่สูงขึ้นเพื่อแสวงหายศฐาบรรดาศักดิ์แบบปุถุชนที่เรียกกันว่ายศช้างขุนนางพระ และพระผู้ใหญ่ก็เกื้อหนุนพระที่เข้ามาถวายเงินทองปัจจัยแบบที่เกิดขึ้นกับลัทธิธรรมกาย โดยพระพาณิชย์ที่ใช้ชื่อเรียกขานว่า ธัมมชโยนั่นเอง
ผมตั้งคำถามกับตัวเองนะครับว่าทำไมเราต้องทำบุญทอดกฐินกับทอดผ้าป่าวัดทุกปี ทั้งที่วัดไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินมากมายถ้าไม่มุ่งเอาไปสร้างถาวรวัตถุที่สร้างความโอ่อ่าของวัดจนเกิดพอดี ทำไมเราไม่หันไปทำบุญเรี่ยไรให้กับโรงพยาบาลในตำบลของเราเช่นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้มีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย มีแพทย์มาประจำ ทำไมเราไม่ไปอุดหนุนโรงเรียนในตำบลของเราให้มีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดีเพื่อส่งผลมาถึงลูกหลานของเรา
ผมไม่ได้หมายความว่า เราจะทอดทิ้งพระและวัดไปเลยนะครับ เราสำรวจว่าวัดนั้นมีความพอดีหรือไม่ ถ้ามีอะไรขาดเกินเราก็เกื้อหนุน แต่ไม่ไปสนับสนุนให้พระสะสมจนเกินความพอดี ไม่ยึดมั่นในวิถีของอนาคาริกคือผู้ไร้เรือน ไม่บ้าวัตถุจนเกินไป
หรือเราควรคุมกำเนิดการสร้างวัดไหม ทำไมปล่อยให้มีวัดเกิดใหม่ทุกวัน ทั้งที่วัดที่มีอยู่แล้วก็ยังขาดพระและมีวัดร้างอีกมาก
อย่าลืมว่าสิ่งที่ทั้งพระและโยมพึงระลึกถึงอยู่เสมอก็คืออภิณหปัจจเวกขณ์5 คือ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นความตายไปได้ เราล้วนต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น และเรามีกรรมเป็นของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วซึ่งจะช่วยให้ละกิเลสได้
ต้องยอมรับนะครับว่า กิเลสจากความโลภฟุ้งเฟ้อของพระบางรูป ความมุ่งหาประโยชน์ของพระบางรูปจนกลายเป็นทุจริตเงินทอนวัดนั้น ญาติโยมก็มีส่วนทำให้เกิดขึ้นเหมือนกัน
|