ทะเลเพลิง..นรก
นำเข้าเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58542]  

รถบรรทุกแก๊สคว่ำกลางถนนเผารถ ๖๗ คัน บ้าน ๕๑ หลัง คน ๘๘ ศพ! ผู้จัดการบริษัทรับโทษรอลงอาญา ๓ ปี!! เผยแพร่: 25 ก.ย. 2560 11:04:00 สภาพชุมชนจารุรัตน์หลังตึกแถว ในจำนวนอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่เกิดต่อสาธารณะนั้น กรณีรถบรรทุกแก๊สคว่ำที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๓ หรือเมื่อ ๒๗ ปีที่ผ่านมา นับเป็นเหตุการณ์สยองขวัญที่สุด และไม่อาจลืมได้ของคนที่รับรู้เหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกี่ยวกับแก๊สเกิดขึ้นอีก เรื่องรถแก๊สคว่ำครั้งนี้ จะถูกนำกลับมาพูดถึงอีกเสมอ และก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่สยองขวัญเท่ากับไฟนรกจากรถแก๊สครั้งนี้.....

เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ ๒๔ กันยายน เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. รถบรรทุกแก๊สของบริษัทสยามแก๊สซึ่งขับโดยนายสุทัน ฝักแคเล็ก บรรทุกถังแก๊สรูปแคปซูล ความจุ ๒ ตันบรรจุเต็มถัง และยังพ่วงรถลากบรรทุกถังแก๊สขนาดเดียวกัน บรรจุแก๊สเต็มถังเช่นกัน ลงจากทางด่วนที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ซึ่งติดตั้งสัญญาณไฟที่ปากทางลง คนขับรถจึงเร่งความเร็วให้ทันสัญญาณไฟ ทำให้รถที่บรรทุกหนักต้องเลี้ยวในขณะมีความเร็ว หรืออาจจะมีแรงเหวี่ยงจากแก๊สซึ่งอยู่ในสภาพเป็นของเหลวด้วย ทำให้รถสะบัดหันไปสวนทางกับรถที่วิ่งมาในเส้นทาง และรถที่พ่วงเอียงคว่ำลง สลัดถังบรรจุแก๊สหลุดจากตัวรถครูดไปกับถนน เกิดความร้อนที่ถังเป็นการเพิ่มแรงดันให้แก๊สในถังดันถังปริแตก แก๊สไหลทะลักออกมานองไปตามถนนก่อนระเหย เมื่อกระทบกับประกายไฟจึงเกิดระเบิดขึ้น แก๊สราว ๒ ตันทำให้บริเวณนั้นเป็นทะเลเพลิงในทันที และทำให้แก๊สในถังที่ยังติดกับตัวรถไม่อาจทนความร้อนได้ ระเบิดตามขึ้นมาอีก เปลวไฟพวยพุ่งออกไปรอบด้าน รถที่ติดไฟแดงอยู่ทั้ง ๒ ด้านของถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จึงไม่อาจพ้นรัศมีของเปลวเพลิงได้ คนที่อยู่ในรถและวิ่งหนีออกไปไม่ทัน จึงถูกอบไหม้เกรียมอยู่ในรถ รวมทั้งคนขับรถแก๊สต้นเหตุด้วย ส่วนตำรวจจราจรที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้น เหลือแต่ท็อปบู๊ตติดเท้าของร่างที่ไหม้เกรียมเป็นตอตะโกอยู่กลางถนน เปลวไฟได้ไหม้ขึ้นไปถึงแผ่นป้ายโฆษณาที่ติดอยู่บนดาดฟ้าตึก ๓ ชั้น ส่วนคนในตึกแถวทั้ง ๒ ฟากถนน ถ้าไม่วิ่งให้สุดชีวิตตอนได้กลิ่นแก๊ส ก็ต้องถูกเผาไปกับตึกด้วย ส่วนคนที่นอนหลับไปแล้วไม่ต้องสงสัยว่าจะรอดชีวิตจากเปลวเพลิงนรกได้ แค่ความร้อนที่แผ่รัศมีเข้ามาก็ทำให้ที่นอนลุกไหม้ขึ้น บริเวณนั้นติดกับทางรถไฟที่ถมเป็นเนินสูง จุดเกิดเหตุอยู่ตรงถนนที่เริ่มถมเป็นเนินขึ้นไปทางรถไฟพอดี แก๊สที่ทะลักออกจากถังเป็นของเหลวยังไม่ทันระเหย จึงไหลลงมาทางซอยจารุรัตน์หรือซอยเพชรบุรี ๓๗ ทางไปประตูน้ำ ซึ่งมีตึกแถวอยู่ปากซอย และมีชุมชนแออัดผู้คนอยู่อย่างหนาแน่นนับ ๑๐๐ หลังคาเรือนอยู่หลังตึก เจ้าของร้านตัดผม “อนุรักษ์บาร์เบอร์” ที่อยู่ปากซอยเล่าว่า ตอนนั้นร้านปิดแล้ว น้องชายกับเมียและลูกอีก ๒ คนขึ้นไปนอนชั้นบน พร้อมกับช่างอีกคนด้วย ส่วนตัวเขายังนั่งสูบบุหรี่อยู่ชั้นล่าง ตอนรถแก๊สคว่ำได้ยินโครมใหญ่จึงจะเปิดประตูหน้าร้านออกไปดู แต่เปิดไม่ออกเพราะใส่กุญแจแล้ว ได้กลิ่นแก๊สอย่างแรงและได้ยินเสียงแก๊สฟู่ๆเข้ามา จึงรีบวิ่งออกทางประตูหลังพร้อมกับตะโกนให้คนข้างบนรู้ จากนั้นก็วิ่งสุดชีวิต แต่ก็ยังไม่พ้นเปลวไฟที่ไล่มาจนลวกหลังบาดเจ็บ ส่วนคนชั้นบน ๕ ชีวิตนั้นไม่มีใครรอดเลย หน่วยกู้ชีพสลดใจกับตอตะโกเด็ก หน่วยกู้ชีพสลดใจกับตอตะโกเด็ก ชุมชนแออัดในซอยจารุรัตน์ แม้จะมีตึกแถวด้านหน้าบังไว้ แต่บ้านที่ปลูกเป็นเพิงติดๆกัน ก็เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี แค่โดนความร้อนก็ลุกไหม้แล้ว จึงราบเรียบไปทั้งหมด คนที่อยู่ใกล้ถนนก็ไม่อาจหนีการย่างสดได้ทัน ที่อยู่ลึกเข้าไปแม้ไม่ถูกเปลวเพลิงโดยตรง แต่แค่ความร้อนก็ทำให้เสื้อผ้าไหม้หมด ถูกไฟลวกทั้งตัวอยู่ในขั้นสาหัส ส่วนอีกด้านของทางรถไฟไปทางสี่แยกมักกะสัน แม้แก๊สจะไม่ได้ไหลไปทางนั้น แต่คนที่อยู่ห่างจุดเกิดเหตุถึง ๑๐๐ เมตร แค่ความร้อนก็ทำให้เสื้อผ้าไหม้ที่ใส่ไหม้ ถูกไฟลวกทั้งตัวเช่นกัน ส่วนหอพักสตรี “เพชร” ซึ่งอยู่ริมถนนตรงจุดเกิดเหตุ และเป็นเวลานอนแล้ว จึงตายเกือบยกหอ เช่นเดียวกับตระกูลแซ่เล้า ซึ่งเปิดร้านซ่อมจักรยานยนต์อยู่ตรงนั้น ก็ตายยกตระกูลเช่นกัน รถดับเพลิงและหน่วยกู้ชีพได้รีบรุดมายังที่เกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บหลายคนอยู่ในสภาพล่อนจ้อน เพราะถูกไฟไหม้เสื้อผ้าไปหมด ผิวหนังก็ถูกไฟลวกไปทั้งตัว บ้างก็นอนอยู่ในสภาพนี้เกลื่อนถนน รถยนต์ที่ถูกไฟไหม้ ส่วนใหญ่มีคนไหม้เกรียมอยู่ในรถด้วย ส่วนรถดับเพลิงก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๔ ชั่วโมงจึงควบคุมเพลิงสงบลงได้ราว ๒๒.๐๐ น.ของวันรุ่งขึ้น เมื่อเข้าไปเคลียร์พื้นที่จึงพบภาพที่สลดหดหู่ใจ ซากศพที่เกลื่อนอยู่ล้วนแต่ไหม้ดำ บางรายเหลือแต่เศษเนื้อ บางรายกระดูกก็ยังเหลือแค่เถ้า ผู้บาดเจ็บจากไอความร้อน ผู้บาดเจ็บจากไอความร้อน อุบัติภัยครั้งนี้ ตึกแถว ๓ ชั้นริมถนนฝั่งซอยจารุรัตน์ถูกเผาไป ๒๑ คูหา ชุมชนแออัดด้านหลังถูกเผาวายวอดไป ๒ ไร่ มีบ้านเรือนราว ๑๐๐ หลังคาเรือน ส่วนฝั่งตรงข้ามมีตึกแถวถูกเผา ๑๗ คูหา รถยนต์ถูกไฟไหม้ ๖๗ คัน รถจักรยานยนต์ ๔ คัน คนเสียชีวิต ๘๘ ศพ และบาดเจ็บ ๓๖ ราย ส่วนรถบรรทุกแก๊สคันที่ก่อเหตุ เป็นของบริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม จำกัด ซึ่งจากการตรวจสอบหลักฐาน พบว่าไม่ได้มาตรฐานตามกฎหมายกำหนด คือไม่มีข้อต่อสำหรับยึดถังแก๊สกับตัวรถไม่ให้หล่นลงมาจนเกิดอันตราย ทั้งยังไม่มีสายรัดถังแก๊สเหมือนที่รถบรรทุกแก๊สทั่วไปใช้กัน ในวันที่ ๒๖ กันยายน นายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ อายุ ๔๘ ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทอุสาหกรรมแก๊สสยาม ได้ไปพบกับตำรวจ และให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า ได้ขายรถคันนี้ให้นายอนุรักษ์ แซ่ฮ้อ ไปเดือนกว่าแล้ว แต่โอนลอยไว้ คนขับก็ไล่ออกไปนานแล้ว ส่วนคลังน้ำมันของบริษัทที่ถนนพระราม ๓ ยานนาวา ปิดตั้งแต่ ๕ โมงเย็น แต่เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมที่ข้างรถบรรทุกแก๊สจึงมีตราสยามแก๊ส นายวรวิทย์ก็บอก “ผมไม่ทราบ” ในวันที่ ๒๗ กันยายน เวลา ๑๕.๐๐ น. นายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ได้ไปพบ พล.ต.ท.วินิจ เจริญศิริ ผบช.น. พล.ต.ต.วิโรจน์ เปาว์อินทร์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมชาย วานิชเสนี ผกก.น.เหนือ พร้อมกับนางสมศรี คันธมาลา อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ มอบเงิน ๒ ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต พล.ต.ท.วินิจได้ถามว่า ที่ให้เงินนี้ในฐานะเจ้าของรถแก๊สหรือไม่ นายวรวิทย์ตอบว่าไม่ใช่ ที่ช่วยก็เพื่อมนุษยธรรม ในบ่ายวันเดียวกัน พ.ต.ต.วิเชียร นึกได้ สว.สส.สน.พญาไท ได้ขอความร่วมมือจาก สน.บางนา ขอหมายค้นบริษัทอุตสาหกรรมสยามแก๊สจำกัด ที่บางนา พบหลักฐานใบสั่งจ่ายน้ำมันกับใบเบิกแก๊สน้ำหนัก ๓,๑๙๐ กิโลกรัมที่คลังน้ำมันของบริษัทที่จ่ายให้กับรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ อีกคนที่ถูกไอความร้อนเผาเสื้อผ้า อีกคนที่ถูกไอความร้อนเผาเสื้อผ้า ตอนบ่ายวันที่ ๒๘ กันยายน นายวรวิทย์ได้เข้าพบ พ.ต.ท.มณเฑียร ประทีปะวณิช สวญ.สน.พญาไท ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด และเปิดแถลงข่าวในเวลา ๑๕.๐๐ น.ให้ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนี้ มาพบคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย สวญ.สน.พญาไท และกรรมการของบริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม ตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ในเวลา ๑๐.๐๐ น.เป็นต้นไป คดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๓๗ ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกนายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม เป็นเวลา ๕ ปี ปรับเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ฐานกระทำอันเป็นการประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทรัพย์สินเสียหายเป็นเงินไม่ต่ำกว่า ๒๑๔.๙๒ ล้านบาท ทำให้บ้านเรือนถูกเพลิงไหม้ ๕๑ หลัง รถยนต์ถูกเผา ๖๗ คัน ประชาชนเสียชีวิต ๘๘ คน บาดเจ็บ ๓๖ คน ต่อมาวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๗ ศาลฎีกาได้อ่านพิพากษาในคดีนี้ กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีใจความว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๓ นายสุทัน ฝักแคเล็ก ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม ได้ขับรถ ๖ ล้อ มีถังแก๊สปิโตรเลียมเหลว ๒ ถัง ๓.๗๗๐ ลิตร ไปตามถนนทางด่วนดินแดง-บางนา แล้วแยกลงถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อนำแก๊สไปส่ง โดยขับฝ่าไฟแดง หักเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี ซึ่งเป็นเวลาที่รถอีกด้านหนึ่งได้รับสัญญาณไฟเขียวและวิ่งออกมา นายสุทันจึงหักหลบ รถได้พลิกคว่ำแก๊สรั่วออกมาเกิดประกายไฟ เผาผลาญรถยนต์ไป ๖๗ คัน มีคนตาย ๘๘ คน บาดเจ็บสาหัส ๒๔ คน เจ็บธรรมดา ๑๒ คนตึกไหม้ไป ๕๑ ห้อง เสียหายรวม ๒๑๔ ล้านบาทเศษ อุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากคนขับคนเดียว แต่เกิดจากการกระทำของบริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม และมีนายวรวิทย์จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ ถ้าจำเลยทำตามประกาศกระทรวงมหาดไทยและกรมโยธาธิการ เรื่องวิธีการติดตั้งถังแก๊สตามกฎหมาย ก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ เพราะรถแก๊สคันก่อเหตุใช้งานมา ๓ ปี ถังบรรจุก็เป็นถังตั้งบนพื้น จึงเป็นการกระทำที่ประมาท นายวรวิทย์ย่อมรู้ดีว่ารถคันดังกล่าวบรรทุกแก๊สไม่ได้ จึงมีความผิดตามฟ้อง มีปัญหาที่ต้องนำมาพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งจำคุกจำเลย ๕ ปีหนักไปหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากคนขับรถเป็นสำคัญ นายวรวิทย์เพียงแต่ไม่ดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงเป็นการลงโทษหนักเกินไป นายวรวิทย์ติดตามเอาใจใส่ช่วยเหลือผู้เสียหาย และจำเลยไม่เคยรับการลงโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นคนดีต่อไป จะเป็นผลดีกว่าการลงโทษจำคุกเสียทีเดียว จึงให้จำคุกนายวรวิทย์ ๒ ปี รอการลงอาญา ๓ ปี ปรับ ๒ หมื่นบาท ถังแก๊สต้นเหตุ ถังแก๊สต้นเหตุ ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายวรวิทย์ซึ่งอยู่ในขั้นเศรษฐีติดอันดับของเอเซีย และเครียดหนักระหว่างฟังคำพิพากษา หน้าชื่นขึ้นทันที และบอกนักข่าวว่า ดีใจมากที่ไม่ต้องติดคุก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จะไปบวชสักพัก แล้วจะก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เอาเงินมาชดใช้ผู้เสียหาย ตอนนี้ก็ใช้ไป ๕๖ รายแล้ว เหลืออีกเพียงรายเดียวเท่านั้น ต่อไปจะตรวจตรารถทุกคันให้ถูกต้องตามกฎหมาย อุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้ง มักเกิดจากความประมาทเลินเล่อ แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องอันตราย แต่ก็ไม่ได้เอาใจใส่เท่าที่ควร หรือเอาความสะดวกเข้าว่า คิดเอาเองว่าละเมิดกฎนิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นไร อุบัติเหตุร้ายแรงแม้จะมีบทเรียนมามากแล้ว จึงยังเกิดขึ้นแบบนี้อยู่เป็นประจำ และทำให้คนที่อยู่ร่วมในสังคมต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ย้ำความปลอดภัยในการทำงานในคำที่ว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” ได้เป็นอย่างดี LINE it!

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้