“อดีตนายทหาร..
นำเข้าเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2560 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58563]  

.....

กลายเป็น “ประเด็นร้อน” ขึ้นมาในทันที เมื่อ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ออกมาตั้งป้อมคัดค้านข้อเสนอการตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” (NOC) ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กลุ่มหนึ่ง พร้อมแฉว่ามี “อดีตนายทหารระดับสูง” 6 นาย วิ่ง “ล็อบบี้” ให้มีการยัดไส้ “ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ฉบับที่ ...พ.ศ. ....” ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ ข้อกังขาที่ทำให้ “หม่อมอุ๋ย” ตั้งป้อมคัดค้านในเรื่องนี้ เพราะแนวคิดดังกล่าวอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติ เพราะจะมีเพียงไม่กี่คน “ถือครองอำนาจเหนือแหล่งพลังงาน” ของชาติ ผ่าน “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” ซึ่งจะกลายเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ ที่สำคัญ... “หม่อมอุ๋ย” ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า ในมาตรา 10/1 ที่มีการ “สอดไส้” เข้ามานั้น ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดย "หม่อมอุ๋ย" อ้างว่าในมาตราดังกล่าว ระบุว่า “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ” และ “ในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน ให้กรมพลังงานทหารเป็นหน่วยงานที่บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน” คล้ายกับย้อนกลับไปสู่ “วังวนเดิม” ที่ยุคหนึ่งอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในแหล่งพลังงานของชาติตกอยู่ใต้ “ท็อปบู๊ททหาร” ภายใต้ “กรมพลังงานทหาร” รวมถึงกิจการน้ำมัน... “สามทหาร”!!! ย้อนไปเมื่อ 50 ปีก่อน ขณะที่ “กรมพลังงานทหาร” ดูแลกิจการน้ำมัน เรามีน้ำมัน “สามทหาร” ของไทยที่มีส่วนการตลาดน้อยมาก และถูก “ครอบงำ” โดยบริษัทน้ำมันต่างชาติเป็นสำคัญ หนังสือ 20 ปี “พลังไทยเพื่อไทย” โดย ปตท. ย้อนอดีตไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นยุคที่เริ่มมีถนน ไฟฟ้า รถราง เมื่อปี 2435 บริษัทน้ำมันต่างชาติที่เข้ามาเป็นบริษัทแรก คือ บริษัท รอยัลดัทช์ ปิโตร เลียม จำกัด เพื่อจำหน่ายน้ำมันก๊าดเพราะมีเขม่าควันน้อย และให้แสงสว่างกว่าน้ำมันมะพร้าว ซึ่งต้องนำเข้าน้ำ มันจากต่างประเทศ ต่อมาปี 2439 พระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ นำรถยนต์คันแรกมาวิ่งบนถนน อีก 6 ปีต่อมา จึงมีรถเมล์ขาวและเริ่มนำน้ำมันเบนซินมาใช้โดยบริษัทน้ำมันต่างชาตินำน้ำมันต่างๆ มาจำหน่าย กระทั่งปี 2476 กระทรวงกลาโหมจัดตั้ง “แผนกเชื้อเพลิง” ขึ้นมา เพื่อจัดหาน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าดและน้ำมันหล่อลื่น จากนั้นอีก 4 ปี จึงเปลี่ยนเป็น “กรมเชื้อเพลิง” และก่อสร้าง “คลังเก็บน้ำมัน” ที่ช่องนนทรี เพื่อขจัดปัญหาน้ำมันขาดแคลนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้บริษัทน้ำมันต่างชาติหยุดค้าน้ำมันในไทย ต่อมาหลัง “สงครามโลกครั้งที่ 2” ยุติ ต้องยุบกรมเชื้อเพลิงและขายกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของประเทศผู้ชนะสงคราม ไทยต้องให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด ในที่สุด ปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นยกเลิกข้อผูกพันที่ทำไว้กับบริษัทต่างชาติเรื่องห้ามมิให้รัฐบาลจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ประชาชนและตั้งองค์การเชื้อเพลิง เป็นรัฐวิสาหกิจในวันที่ 27 ม.ค.2503 โดยใช้สัญลักษณ์ตราสามทหาร เพื่อดำเนินสถานีบริการน้ำมัน จัดหาและกลั่นน้ำมัน ต่อมาในยุควิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี 2516-2517 น้ำมันราคาแพงมากและขาดแคลนไปทั่วโลก ไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะไม่มีแหล่งปิโตรเลียมเป็นของตนเอง จึงเริ่มมองหาแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในประเทศ กระทั่ง ปี 2520 มีการจัดตั้งองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย (อกธ.) ขึ้น เพื่อพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย และในปี 2521 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี มีการตรา พ.ร.บ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย นับเป็นองค์กรของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปิโตรเลียมของไทยขึ้นโดยตรงเป็นครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของ ปตท. และอวสานองค์การเชื้อเพลิง พร้อมแบรนด์สามทหาร ซึ่งบริหารโดยทหาร และ “ผูกขาด” กิจการเชื้อเพลิงของชาติมาอย่างยาวนาน แม้ปัจจุบัน “กรมพลังงานทหาร” ยังดำรงอยู่ และดูแลบ่อน้ำมันที่ฝาง จ.เชียงใหม่ แต่ปั๊มน้ำมันที่ใช้ “ตราสามทหาร” เลือนหายพร้อมๆกับบทบาทของทหารที่วางมือจากกุมอำนาจในธุรกิจเชื้อเพลิงไปแล้ว พร้อมกับการเข้ามาแทนที่ของ “ตรา ปตท.” ตราบจนทุกวันนี้ แต่ถ้า...บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่จริงๆ “ทหาร” จะกลับมามีบทบาท ควบคุมกิจการพลังงานของชาติแบบ “เบ็ดเสร็จ” อีกครั้ง

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้