การโกงในระบบ
นำเข้าเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2560 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58531]  

.....

ไหนๆก็จะว่ากันเรื่องการแก้โกง ซึ่งกำลังเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นวิกฤติของชาติบ้านเมืองกันแล้ว ก็สมควรพูดกันให้สิ้นกระแสความ โดยเฉพาะประเภทของการโกงในระบบราชการไทยนั้น เขาโกงกันอย่างไร? โกงกันกี่ประเภท? เพื่อที่จะได้จัดการแก้ไขได้ตรงเป้าเข้าจุด แต่ก็ต้องย้ำความตามที่ได้นำเสนอไปเมื่อวานเสียก่อนว่า การโกงบ้านกินเมืองนั้นมีสามขบวนการประกอบเข้าด้วยกันและเกี่ยวข้องกัน คือขบวนการงาบหรือขบวนการกินเมือง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรง ส่วนจะเป็นระดับใดบ้างก็สุดแท้แต่กรณี ถัดมาก็คือขบวนการชง ที่มีความปรีชาสามารถในการชงเรื่องให้โกงได้อย่างสมเหตุสมผล และขบวนการอุ้มโกงที่คอยอุ้มชูแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น ตราบใดที่ไม่ทำลายขบวนการโกงทั้งสามขบวนการนี้แล้ว ตราบนั้นก็ไม่มีทางแก้ปัญหาโกงบ้านกินเมืองให้หมดสิ้นไปได้เลย และที่น่าประหลาดใจมากก็คือในขณะที่ขบวนการงาบเปลี่ยนหน้ากันไปเปลี่ยนหน้ากันมา เพราะไม่มีแผ่นดินอยู่บ้าง หลบหนีไปบ้าง ติดคุกบ้าง ถูกยึดทรัพย์บ้าง แต่ขบวนการชงและขบวนการอุ้มโกงยังคงเรืองอำนาจอยู่ทุกยุคทุกสมัย ประวัติศาสตร์ยุครัฐบาล คสช. คงจะไม่ซ้ำรอยยุคระบอบทักษิณ ที่แผ่นดินก็ไม่มีอยู่ จำนวนมากก็ติดคุกติดตะราง หรือบ้างก็หนีคดี บ้างก็ถูกยึดทรัพย์ บ้างก็เสียผู้เสียคน จนครอบครัวลูกหลานจะไปไหนก็ต้องเอาปี๊บคลุมหัวเรื่อยไป แต่ก็อย่าได้วางใจ เพราะร่องรอยเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นทุกทีว่าขบวนการชงและขบวนการอุ้มโกงกำลังผงาดประกาศศักดาให้ผู้คนด่าว่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญให้จงดี เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ไว้เป็นข้อแรกของมงคล 38 คือการไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด พวกนี้แหละคือพวกพาลมหาพาลตัวจริงที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม เพราะมีความร้ายแรงถึงขั้นไม่มีแผ่นดินอยู่ให้เห็นมาแล้ว ทีนี้ก็มาว่ากันถึงกระบวนการโกงในระบบราชการของประเทศไทย ก็ต้องกล่าวว่าในระบอบการโกงบ้านกินเมืองในระบบราชการของประเทศไทยนั้นกระทำกันในสามกระบวนดังต่อไปนี้ กระบวนแรก เป็นการโกงบ้านกินเมืองโดยอาศัยการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งแต่ละปีก็มีการจัดซื้อจัดจ้างกันหลายแสนล้านบาท โดยมีแค่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุที่สุดแสนจะล้าหลังและเปิดช่องให้มีการโกงทุกขั้นทุกตอน ซึ่งขบวนการชง ขบวนการงาบ และขบวนการอุ้มโกงจะไม่มีวันแก้ไขสิ่งนี้เป็นอันขาด กระบวนที่สอง เป็นการโกงบ้านกินเมืองโดยอาศัยการให้อนุญาตหรือการให้สัมปทานทุกประเภท เช่น การอนุญาตให้นำที่ราชพัสดุไปจัดหาประโยชน์โดยคิดค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาดที่เป็นจริง หรือโดยมาตรการอื่นที่ให้ประโยชน์แก่เอกชน ดังเช่นโครงการศูนย์ราชการ หรือการให้เช่าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นต้น ไม่ต้องพูดถึงการอนุญาตให้ระเบิดและย่อยหิน หรือให้อาชญาบัตรสำรวจแร่ต่าง ๆ รวมทั้งการให้สัมปทานต่าง ๆ และย่อมรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนทุกประเภทที่มีลักษณะผิดปกติ ที่เอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติขูดเลือดขูดเนื้อประเทศชาติและประชาชน การโกงชาติแบบนี้ลึกและหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าโกงชาติโดยการจัดซื้อจัดจ้างหลายเท่านัก เพราะการจัดซื้อจัดจ้างนั้นในแต่ละปีก็มีจำนวนรวมกันไม่ถึงครึ่งของงบประมาณแผ่นดิน คือประมาณไม่ถึง 1 ล้านล้านบาท แต่การโกงชาติโดยการให้อนุญาตหรือให้สัมปทานบางโครงการก็มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทไปแล้ว ดังเช่นการให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมัน การให้สัมปทานตู้เสบียงรถไฟทั่วประเทศ หรือการอนุญาตในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง กระบวนที่สาม เป็นการโกงบ้านกินเมืองโดยการละเว้นไม่ทำหน้าที่ หรือโดยการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่ชอบ หรือโดยการใช้อำนาจหรือละเว้นการใช้อำนาจโดยทุจริต ซึ่งมีได้สารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ประโยชน์ในรูปค่าที่ปรึกษา หรือค่าอย่างอื่น หรือประโยชน์อย่างอื่นก็ตามที ดังเช่นการสร้างโรงแรมรุกเขตแม่น้ำ แต่มีการจ่ายค่ารายเดือนเพื่อไม่ต้องดำเนินคดี หรือในกรณีนำเข้าสินค้าซึ่งแทนที่จะมีการตรวจสอบสินค้าว่าตรงกับที่สำแดงหรือไม่ กลับตีเหมาราคาเป็นรายตู้ หรือในกรณีเป็นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีประเภทใดก็ตาม กลับไปรับจ้างยื่นแบบแสดงรายการหรือเสียภาษีแบบทำเอง ชงเอง กินเอง หรือขอคืนภาษีในลักษณะชงเอง กินเอง ดังเช่นบางกรณีที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกันถึง 6,000-7,000 ล้านบาท โกงเอาเงินหลวงไปดื้อๆ ก็มีปรากฏให้เห็นมาแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังอุ้มโกงกันอยู่ มาถึงวันนี้รัฐบาลที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาการโกงบ้านกินเมือง ได้ใช้ความพยายามไปมากหลาย แต่ยังไม่สำเร็จ ซึ่งสาเหตุสำคัญก็อยู่ที่ขบวนการชงและขบวนการอุ้มโกงยังคงผงาดอยู่ในอำนาจและมีเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้นทุกที แต่เสียงเรียกร้องของประชาชน และเสียงก่นด่ากันอึกทึกครึกโครมไปทั้งบ้านทั้งเมืองนั้นขณะนี้ดังสนั่นเสียยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง คงไม่นานดอกคงจะได้เห็นรัฐบาลหรือ คสช. เฉดหัวขบวนการชง ขบวนการอุ้มโกงให้อาณาราษฎรชื่นใจก็เป็นได้ มาถึงวันนี้ก็มีข่าวว่าในสามกระบวนการโกงในระบบราชการไทยนั้น รัฐบาล คสช. ได้มีดำริที่จะให้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบการสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ หรือระเบียบการว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ก็นับว่าดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ยังคงเหลืออีกสองกระบวนคือ ว่าด้วยการให้อนุญาตหรือให้สัมปทาน และที่ว่าด้วยการกำกับ ควบคุมการใช้อำนาจหน้าที่ให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และภายในระยะเวลามาตรฐานที่กำหนดอีกสองเรื่อง ซึ่งคงจะตามมาในไม่ช้านี้ สำหรับกระบวนการแรก เรื่องการแก้ไขระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างนั้น มีข้อน่าสังเกตดังต่อไปนี้ ข้อแรก เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสามกระบวนการโกงชาติในระบบราชการ ที่ใช้งบประมาณแผ่นดินหรืองบประมาณของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นฐานะของเรื่องนี้จึงควรต้องตราเป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหา จัดจ้าง ไม่ใช่มีฐานะแค่เพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุดังที่เป็นมาช้านานดึกดำบรรพ์แล้ว ข้อสอง จะต้องวางหลักการที่ชัดเจนอย่างน้อยสองเรื่อง คือ เรื่องแรก ทุกการจัดซื้อและการจัดจ้าง จะต้องไม่แพงกว่าราคาตลาด สำหรับสิ่งของประเภทเดียวกัน และคุณภาพอย่างเดียวกัน ไม่ใช่ว่าทำตามระเบียบแล้วจะสามารถอ้างเพื่อซื้อไม้บรรทัดในราคาอันละ 2 ล้านบาทได้ หรืออ้างเพื่อซื้อนาฬิกาเรือนละ 200 บาทเป็นเรือนละ 30,000 บาทได้ การโกงตามระเบียบหรืออ้างระเบียบแบบนี้จะต้องไม่มีอีกต่อไปโดยเด็ดขาด เรื่องที่สอง ทุกการจัดซื้อ จัดจ้าง จะต้องเป็นไปตามประเภทและชนิดของสินค้าหรือสิ่งของที่มีอยู่ในท้องตลาด ไม่ใช่กำหนดขึ้นเองแบบบ้าๆ บอๆ ดังที่เป็นอยู่ ตัวอย่างเช่นจะซื้อรถมาใช้สักคันหนึ่งก็เขียน TOR หรือเงื่อนไขในการจัดซื้อแล้วล็อกสเปกกันตามใจชอบ โดยที่คนเขียนสเปกนั้นก็ไม่เคยผลิตรถเลยแม้แต่คันเดียว และเป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีที่ใดในโลกที่จะผลิตรถคันเดียวมาขายตามสเปกที่เขียนขึ้นนั้น นี่คือกระบวนการโกงที่บัดซบที่สุดที่ยังดำรงอยู่ในขณะนี้ ข้อสาม ต้องมีความเปิดเผยและโปร่งใสว่าจะจัดหาจัดซื้อจัดจ้างอะไร และมีราคากลางที่สอดคล้องกับราคาท้องตลาดเท่าใด ข้อสี่ ต้องให้อำนาจหน่วยงานตรวจสอบในการระงับยับยั้งการประกาศจัดซื้อจัดหาหรือการตรวจรับมอบที่มีความผิดปกติที่จะเกิดความเสียหายแก่รัฐได้ในทันที อย่างน้อยการปรับปรุงแก้ไขเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ไม่เคยมีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองหน้าไหนกล้าคิดกล้าทำมาก่อน!

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้