รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 นำเข้าเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2559 โดย จุฬา ศรีบุตตะ อ่าน [58519]
..... โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นเสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ปีมะโรง พ.ศ.2411 พระองค์โปรดการเสด็จไปเยี่ยมดูแลราษฎรในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร โปรดเกล้าฯให้มีการเลิกทาส ทรงปกป้องราชอาณาจักรสยามไม่ให้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ
ทรงประกาศให้ราษฎรนับถือศาสนาโดยอิสระ และผู้นำทางศาสนาสามารถปฏิบัติงานในศาสนาได้อย่างอิสระ มีการนำระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาทมาใช้ วางระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑล เทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และมีการสร้างทางรถไฟสายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง นครราชสีมา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 ทรงมีปฐมพระบรมราชโองการระหว่างพระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในโครงการพระราชดำริร่วมสี่พันโครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์เพื่อพัฒนาประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย
การส่งเสริมอาชีพและการสาธารณูปโภค ตลอดจนการศึกษา ทรงแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง การปกครองในช่วงเดือนตุลาคม 2516 และ พฤษภาคม 2535 จากการที่พระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชน นอกจากได้รับการยกย่องชื่นชมจากพสกนิกรชาวไทยแล้ว ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญจากองค์การสหประชาชาติ ในสมัยของ นายโคฟี อันนัน เป็นเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัลความสำเร็จอันสูงสุดด้านพัฒนามนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยของเราจึงเป็นที่เคารพรักและเป็นศูนย์รวมจิตใจและศรัทธาของคนไทยในชาติ และคนทั่วโลกจนทุกวันนี้ แม้กระนั้นก็ตาม ยังมีคนบางกลุ่มบางพวกในบ้านเราบ่อนเซาะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ตลอดเวลา ด้วยการแพร่หลายแนวคิดแนวทางที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง หรือสร้างเรื่องสร้างราวต่างๆให้ดูสมจริงผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งในขณะนี้ พระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ยังคงถูกท้าทายอย่างเหิมเกริมจากคนเหล่านี้ อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผู้มีหน้าที่ในบ้านเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าประชาชนหรือฝ่ายราชการล้วนมีกฎหมายกำหนดหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการป้องกันรักษาสถาบันสูงสุดของชาติดังกล่าว โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา และกฎหมายอาญาที่มีผลบังคับใช้ในขณะนี้ ในภาคประชาชนนั้น
กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา ได้กำหนดไว้ว่า “บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในภาคราชการ โดยเฉพาะฝ่ายทหารนั้น กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา กำหนดไว้ชัดเจนว่า - “พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” - พิทักษ์รักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ - พิทักษ์ รักษา เอกราชและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ปราบปรามกบฏและการจลาจล - ปกป้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือหลักการใหญ่ๆที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ นอกเหนือจากนี้ยังมีกฎหมายอาญากำหนดไว้ตลอดมาถึงขณะนี้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อีกด้วย
โดยเฉพาะในมาตรา 112 ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการกระทำผิดในลักษณะต่างๆของสถาบันพระมหากษัตริย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเฝ้าระวังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มากขึ้นในขณะนี้ โดยเฉพาะในระยะแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
|