ไทยก็เปล่งรัศมีในเวทียูเอ็น นำเข้าเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2559 โดย จุฬา ศรีบุตตะ อ่าน [58525]
วิภาคสื่อเทศ วิเทศสื่อไทย
สุทิน วรรณบวร
เมื่ออเมริกาล่าเหยื่อใหม่ ไทยก็เปล่งรัศมีในเวทียูเอ็น..... การประชุมสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 นับเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ทีมประเทศไทย นำโดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าประชุมยูเอ็น ในขณะที่บ้านเมืองสงบ รัฐบาลมีเสถียรภาพมั่นคง ชูธงปฏิรูป
จากประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปประเทศโลกที่ 1 หรือประเทศพัฒนาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในวันแถลงข่าวครบรอบสองปีของรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รัฐบาลได้ทุ่มเทการทำงานพลิกสถานการณ์ จากที่เคยถูกปรามาสว่าไทยเป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) มาเป็นประเทศที่ก้าวหน้าทุกมิติ
ถ้อยแถลงของนายกฯสอดคล้องกับการประเมินของหน่วยงานองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทยในทิศทางที่ดี เช่น ธนาคารโลกประเมินว่าด้านเสถียรภาพและความมั่นคง ความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองดีขึ้น
จากอันดับที่ 58 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 51 ในปี 2559 ความโปร่งใสในการบริหารงานของภาครัฐ ดีขึ้นจากอันดับที่ 57 ในปี 2557 มาอยู่อันดับที่ 25 ปี 2559
ดัชนีคอร์รัปชั่นก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาไทยอยู่ในลำดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่ในลำดับที่ 76 สถานการณ์คอร์รัปชั่นของไทยดีที่สุดในรอบ 6 ปี และโปร่งใสที่สุดในรอบ 10 ปี “ภารกิจรัฐบาลในระยะที่สามของโรดแมป คือส่งมอบหน้าที่ต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ ภายหลังจากเลือกตั้ง ซึ่งถ้าเปลี่ยนผ่านสำเร็จ เราจะมีโอกาสยกฐานะไปสู่ประเทศในโลกที่ 1 หมายถึงประเทศพัฒนาแล้ว
ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยของประชากรสูงขึ้น มีระบบสวัสดิการที่สมบูรณ์... ความเจริญกระจายตัวไปทั่วทุกภูมิภาค... ประเทศมีที่ยืนในเวทีโลกอย่างสง่างาม” ปณิธานของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะยกฐานะประเทศไปสู่โลกที่ 1
ไม่ไกลเกินเอื้อมถ้าทำตามคำประกาศที่ว่า “... นักการเมืองไม่มีธรรมาภิบาล ทุจริต ถือเป็นการบ่อนทำลายชาติ และต้องขจัดให้สิ้นซาก...” ต้องยอมรับความจริงว่า ตลอดเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ทีมประเทศไทยเข้าประชุมยูเอ็น
ในขณะที่รัฐบาลง่อนแง่นล้มเหลว ปี 2549 รัฐบาลไทยรักไทยถูกประชาชนประท้วงขับไล่ และจัดการเลือกตั้งโกงจนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นการเลือกตั้งโมฆะ นายทักษิณ ชินวัตร ดึงดันอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ท่ามกลางการชุมนุมต่อต้าน และถูกยึดอำนาจขณะเตรียมตัวเข้าร่วมประชุมยูเอ็น
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ปีเดียวกัน คนในระบอบทักษิณสืบทอดอำนาจเป็นรัฐบาลต่อมา 3 ชุด อาทิ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างก็ถูกประชาชนประท้วงขับไล่ในทำนองเดียวกับนายทักษิณ จนไม่มีโอกาสแสดงบทบาทใดๆ ในเวทียูเอ็น และหัวหน้ารัฐบาลทั้ง 3 ชุด ก็ถูกศาลฯตัดสิน ให้พ้นจากตำแหน่งทุกคน ปี 2551-53
รัฐบาลประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาสลับฉากบริหารประเทศอยู่สองปีกว่านายอภิสิทธิ์ นักการเมืองมีภาพลักษณ์เป็นสากล แต่ก็ไม่มีบทบาทเด่นในเวทียูเอ็น เพราะเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวทางด้านความมั่นคง ปล่อยให้ม็อบเสื้อแดงบุกถล่มที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ทำลายภาพพจน์ชื่อเสียงประเทศไทยในเวทีสากล
พล.อ.ประยุทธ์นำทีมประเทศไทยเข้าร่วมประชุมยูเอ็นครั้งแรกในปี 2557 ในฐานะผู้นำรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ ถูกตะวันตก นำโดยสหรัฐตั้งตัวเป็นศัตรู สมคบกับกลุ่มอำนาจเก่าตั้งป้อมต่อต้านคณะที่ผู้แทนไทยที่ไปร่วมประชุมยูเอ็น ตั้งแต่ก่อนคณะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แต่ด้วยความสามารถทางการทูต
โดยการนำของนายดอน ปรมัตถ์วินัย และ นายวีรชัย พลาศรัย ทูตไทย ประจำนิวยอร์ก ล็อบบี้ จนประเทศไทยได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม G77 ซึ่งมีสมาชิกในกลุ่มชาติกำลังพัฒนา 134 ประเทศ บทบาทของทีมไทยในเวทีสากลก็โดดเด่นขึ้นมาทันที ฝ่ายต่อต้านที่ใช้แผนการโลกล้อมประเทศ เพื่อโดดเดี่ยวพล.อ.ประยุทธ์
ในที่ประชุมสหประชาชาติ แต่สถานการณ์กลับกลายมาเป็นผู้แทนจากประเทศชั้นนำระดับทั่วโลก ห้อมล้อมแสดงความยินดีจับมือโอภาปราศรัยกับพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนออกเดินทางไปประชุมยูเอ็น ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า
จะเข้าร่วมประชุมในเวทีสำคัญ 3 วาระ คือ 1.การประชุมสุดยอดผู้นำด้านผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นเวทีที่เราจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กว่า 40 ปี กับผู้นำ 34 ประเทศได้รับเชิญ 2.การประชุมว่าด้วยเรื่องการดื้อยาจุลชีพ
ไทยในฐานะประธานกลุ่ม G77 เป็นผู้ประสานกลุ่มประเทศอาเซียน และ 3.การประชุมสหประชาชาติสมัยวิสามัญ ครั้งที่ 71 ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนายั่งยืน “ที่ผมจะน้อมนำ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นทางเลือกหนึ่งของการพัฒนายั่งยืนร่วมกันของมนุษยชาติ
ซึ่งที่ผ่านมามีประมาณ 20 ประเทศ แสดงความสนใจเข้ามาศึกษางานดูงานในประเทศไทย” ตั้งแต่ปี 2549 ตัวแทนจากประเทศไทย ที่ไม่อยู่ในเครือข่ายของระบอบทักษิณ เมื่อเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ มักตกเป็นเป้าต่อต้านโจมตีจากตะวันตกโดยการนำของสหรัฐ องค์กรสิทธิมนุษยชนกับสื่อฝรั่งผีโม่แป้ง
ซึ่งเป็นหน้าม้าของวอชิงตันและอียู สมคบกับกลุ่มอำนาจเก่า โจมตีประเทศไทยเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน และกลั่นแกล้งกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก่อนการประชุมทุกครั้ง สื่อตะวันตก ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในแผนการโลกล้อมประเทศ มักประโคมข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชน การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การกลั่นแกล้งกดขี่จากรัฐบาลเผด็จการทหารต่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในประเทศไทย
ตั้งแต่ประธานาธิบดีโรดิโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ กับนายกฯฮุนเซ็น แห่งกัมพูชา ลุกขึ้นด่าทอท้าทายอำนาจสหรัฐอย่างไม่ไว้หน้า สื่อตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่เป็นหน้าม้าของอเมริกาและอียู กลับลำมุ่งเป้าโจมตี ฟิลิปปินส์กับกัมพูชาแทนประเทศไทย
ก่อนหน้าวันประชุมครั้งที่ 71 ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์เตือนฟิลิปปินส์และกัมพูชาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้านสหรัฐกับอียู ออกแถลงการณ์ประณามฟิลิปปินส์ ว่าทำลายล้างมนุษยชาติ
จากการปราบปรามยาเสพติดที่วิสามัญฆาตกรรมผู้เกี่ยวข้องยาเสพติดไปแล้วเกือบ 3,000 คน นายเอร์เนส์โต อาลาลา โฆษกทำเนียบมาลากันยัง ตอบโต้ว่า “ประธานาธิบดีดูเตอร์เต ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการวิสามัญฆาตกรรม แต่สิทธิมนุษยชนก็ไม่อาจถูกใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อปล่อยให้ยาเสพติดแพร่ระบาดในประเทศนี้
” สหรัฐที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อการกวาดล้างยาเสพติดของนายทักษิณ ในปี 2547 มีคนตายกว่า 2,800 คน แต่มีปฏิกิริยารุนแรงต่อนายดูเตอร์เตฟิลิปปินส์ แต่ไหนแต่ไรมาทำตัวเป็นลูกสมุน ที่สหรัฐใช้เป็นหุ่นเชิดในการต่อต้านจีนและสร้างความตึงเครียดในทะเลจีนใต้
แต่พอนายดูเตอร์เต ชนะการเลือกตั้งคว่ำลูกสมุนวอชิงตันลงได้ ลูกไก่ที่เคยอยู่ในมือก็ขี้ใส่มือลุงแซมทันที นายดูเตอร์เต นอกจากหยามนายบารัค โอบามา อย่างไม่ไว้หน้าแล้ว ยังไล่ทหารอเมริกัน ให้ออกจากเมืองมินดาเนา และประกาศว่าจะซื้ออาวุธสงครามจากจีนและรัสเซีย แทนจากสหรัฐ
มีคนตั้งข้อสังเกตว่านายดูเตอร์เต ต้องถูกกระทำมาก่อนถึงได้ตอบโต้รุนแรง เจริญขวัญ บลาฮาสสกี้ นักเขียนสาวไทย ที่ไปถลกโสร่งด่าลุงแซมในรั้วบ้านเขียนเฟซบุ๊คว่า “พอดูเตอร์เต ด่าทูตไอ้กันระเบิดตูมๆ ขึ้นที่บ้านเกิดประธานาธิบดีทันทีเลยนะ...”เจริญขวัญและคนจำนวนมากคงสงสัยว่าระเบิดที่ทำให้คนตาย 14 คน อาจเป็นฝีมือของซีไอเอ
นายดูเตอร์เต ซึ่งถูกกลั่นแกล้งมาตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง เมื่อสหรัฐและสื่อในสังกัด สนับสนุนคู่แข่งเขาออกหน้า และต่อต้านทำลายเขาทุกทางทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นี้คงเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้นักเลงโบราณแห่งเมืองดาเวา โกรธลุงแซม ชนิดที่เป็นไม่เหยียบเงาตายไม่เผาผี
ซึ่งต่างกับบ้านเรา ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่า สหรัฐสมคบกับผู้สูญเสียอำนาจ ทำร้ายประเทศชาติ ใช้วิธีการชั่วร้ายทั้งบนดินและใต้ดิน แต่รัฐบาลไทยก็เลือกใช้วิธีตอบโต้ทางการทูตอย่างมีอารยะ ซึ่งก็ชนะใจชาวโลกและเป็นภูมิป้องกันไม่ให้วอชิงตัน โขกสับได้ตามอำเภอใจ
ถึงวันนี้เมื่อสหรัฐได้ฟิลิปปินส์กับกัมพูชาเป็นเหยื่อรายใหม่ ทีมประเทศไทยก็ได้โอกาสสร้างบารมีเปล่งรัศมีในเวทียูเอ็น
|