ต้นเหตุของโรคมะเร็ง
นำเข้าเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2559 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58615]  

.....

                   

                    การผลิตจากภาคเกษตรกรรมที่เน้นขนาดใหญ่ ทำให้ต้องใช้สารเคมีอันตรายจำนวนมากตกค้างในอาหาร การปล่อยน้ำเสีย อากาศพิษในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล อาจเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง
       
                     ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เอาเฉพาะสถิติโรคมะเร็งอย่างเดียวก่อน พบว่า ในปี 2550 อัตราการตายด้วยโรคมะเร็งทุกชนิดเท่ากับ 84.91 คนต่อประชากร 1 แสนคน นั่นคือ ในประชากร 10 ล้านคน ก็จะมีผู้ตายด้วยโรคมะเร็ง 8,491 คน
       
       จำนวนผู้ตายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ ในปี 2557 (ข้อมูลล่าสุด) เป็น 107.88 คน ต่อประชากร 1 แสนคน (ดูแผ่นภาพประกอบซึ่งผมได้เปรียบเทียบกับจีดีพีด้วย) จำนวนผู้ตายด้วยโรคมะเร็งทุกชนิดทั้งประเทศรวมกัน 70,055 คน กว่าผู้ป่วยจะตายต้องสูญเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก
       
       ถ้าคิดเป็นอัตราการตาย (ต่อประชากร 1 แสนคนในช่วง 2550 ถึง 2557) พบว่า เฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 3.9 ต่อปี กรุณาอ่านดีๆ นะครับ คืออัตราการตาย (ต่อประชากร 1 แสนคน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ต่อปี

 

เมื่ออัตราการตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพี!
        ถ้าคิดในเชิงคณิตศาสตร์ตัวเลข เราสามารถพยากรณ์ได้ว่าในสิ้นปี 2558 และ 2559 จำนวนผู้ตายจากโรคมะเร็งจะเป็น 112.20 และ 116.68 คนต่อประชากร 1 แสนคน ตามลำดับ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.14% ต่อปี ตลอด 9 ปี
       
      ย้อนหลังไปจนถึงปี พ.ศ. 2510 ซึ่งเราเพิ่งผ่านการพัฒนาประเทศในรูปแบบใหม่มาได้เพียง 6 ปี (หลังผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม) คนไทยตายด้วยโรคมะเร็งเพียง 12.6 คนต่อประชากร 1 แสนคน (ข้อมูลจากไบโอไทย ที่อ้างจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ) แต่พอมาถึงปี 2557 จำนวนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 107.88 คน คิดเป็น 8.6 เท่าตัว
       
       คราวนี้เรามาดูเรื่องจีดีพีกัน
       
                   วิธีคิดจีดีพีมี 2 วิธี คือคิดรายได้ในราคาปัจจุบัน (ซึ่งรวมเงินเฟ้อแล้ว-ตัวเลขสูงขึ้นแต่มูลค่าน้อยลง) กับคิดเทียบกับราคาคงที่เมื่อเทียบกับค่าเงินในปี 2002 (หรือปี 2545) เนื่องจากกำลังเทียบกับจำนวนผู้ตาย (ซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินเฟ้อ ผมจึงเลือกใช้ค่าคงที่) พบว่า ในช่วงจากปี 2550 ถึง 2557 รายได้รวมกันหรือจีดีพีได้เพิ่มขึ้นจาก 7.58 ล้านล้านบาท เป็น 9.47 ล้านล้านบาท (ไม่ใช่ 13.54 ล้านล้านบาท)
       
       ดังนั้น อัตราการขยายตัวของจีดีพีในช่วงดังกล่าวเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% ต่อปี ต่ำกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของอัตราผู้ตายด้วยโรคมะเร็ง (ต่อประชากร 1 แสนคน) ซึ่งเท่ากับร้อยละ 3.9 เสียอีก
       
       กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ อัตราการขยายตัวของอัตราผู้ตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ พูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ เราพยายามดิ้นรนเพื่อหารายได้ให้มากขึ้นเพื่อนำเงินมารักษามะเร็ง แต่ตัวมะเร็งวิ่งเร็วกว่ารายได้ ถ้าอย่างนี้เราไม่มีทางเอาชนะมะเร็งได้เลย

       
       เมื่อข้อมูลมันได้สะท้อนออกมาอย่างนี้ นอกจากผู้นำจะต้องรีบนำมาทบทวนทิศทางการพัฒนาของประเทศแล้ว สังคมไทยก็ควรจะตื่นรู้และนำเรื่องนี้มาครุ่นคิดด้วย จะฝากความหวังไว้กับผู้นำที่สายตาสั้นและเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนไม่ได้อีกต่อไป
       
       คราวนี้เรามาดูข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีตกค้างในอาหาร ซึ่งผมได้รับมาจากคุณวิฑูรย์ครับ
       
       จากการสำรวจสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้เมื่อเดือนมีนาคม 2557 พบว่ามีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานดังแสดงในรูปครับ (ผักคะน้าเกินมาตรฐานจำนวนร้อยละ 53.8 ของจำนวนตัวอย่างที่เก็บมาตรวจ เป็นต้น)

 
เมื่ออัตราการตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพี!
       

 
เมื่ออัตราการตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพี!
        จากข้อมูลของ สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ กรมควบคุมโรค (ซึ่งไบโอไทยอ้างถึง) พบว่าจากการตรวจเลือดของเกษตรกรตั้งแต่ปี 2540 พบความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยถึงร้อยละ 16 และในปี 2554 ได้เพิ่มเป็น 39%
       
       ในด้านการนำเข้าสารกำจัดวัชพืช พบว่าประเทศไทยนำเข้ามากเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ถ้านับเทียบกับพื้นที่การเกษตรที่เท่ากันแล้ว พบว่า ประเทศไทยใช้สารเคมีมากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 5 เท่าตัว (ดูภาพประกอบ)

 
เมื่ออัตราการตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพี!
        และเพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงของสัมพันธ์ระหว่างยาปราบวัชพืชกับโรคมะเร็งจึงขอตัดตอนบทคัดย่อของบทความวิชาการจากวารสารวิชาการของสถาบันมะเร็งแห่งชาติมาดูด้วยครับ เรียกว่าเอามาข่มพวกที่ไม่เชื่อ

 
เมื่ออัตราการตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพี!
        โดยสรุปเรายังไม่เห็นรัฐบาลไหนที่ผ่านๆ มารวมทั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาด้วยได้หยิบยกเรื่องสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมาเป็นตัวชี้วัดสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลนี้เตรียมจะเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า
       
       ทำไมไม่ดูตัวอย่างจากประเทศภูฏาน หรือยึดมั่นอย่างจริงใจต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเราเอง
       
       อ้อ โรงไฟฟ้าถ่านหิน คือต้นเหตุที่สำคัญของโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ที่กำลังเป็นปัญหาขัดแย้งในสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ด้วยครับ


 

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้