นี้มันบ้า ........ให้หยุดปลูกข้าว
นำเข้าเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2559 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58527]  

.....

                           หากลองท่องเข้าไปในเว็บไซต์ข่าว และโซเชียลมีเดียในแต่ละวันหรือจะดูภาพรวมในแต่ละสัปดาห์ คุณจะเห็น “ภาพสะท้อน” ของประชาชนและประเทศชาติในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ว่าผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่องอะไรอยู่ หรือสื่อสารมวลชน จับประเด็นอะไรอยู่ สิ่งที่เขาสนใจกันอยู่นั้น ตรงกับ “ความเป็นจริง” หรือ “เข้าใจคลาดเคลื่อนไป”

ผมลองหยิบ 5 เรื่องที่มองเห็น มาพูดคุยกันดังต่อไปนี้

1) รัฐบาลนี้มันบ้า มันจะจ้างชาวนาให้หยุดปลูกข้าว

                         เว็บไซต์พันธุ์ทิพย์นี่ตัวดี พูดเรื่องนี้กันขรม ในทำนองว่า ไม่ให้ชาวนาปลูกข้าว แล้วจะให้เขาทำอะไรกินวะ? ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงก็คือ “...กรมส่งเสริมการเกษตร เชิญชวนชาวนาลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด พักการปลูกข้าวนาปรังปี 2560 ไปปลูกพืชอื่นทดแทน ลดความเสี่ยงผลผลิตข้าวเกินความต้องการ

                           โดยนายคณิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลายฤดูนาปรัง 2560 ว่า เป็นโครงการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวที่ผลิตได้เกินความต้องการของตลาด ซึ่งจะเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจ เพื่อให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการปลูกข้าว และมีโอกาสเรียนรู้กิจกรรมทางเลือก รวมทั้งมีรายได้ระหว่างการลดรอบการปลูกข้าวในฤดูนาปรัง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และพืชผัก ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตร จะจัดหาตลาดรองรับ คาดว่าจะสร้างโอกาสให้เกษตรกรเรียนรู้การเพาะปลูกพืชอื่นในพื้นที่นา เพื่อเป็นเกษตรกรรมทางเลือกในระยะยาวได้

                            เขากล่าวย้ำว่า โครงการนี้เป็นเพียงการลดรอบการปลูกข้าวเท่านั้น ผู้สมัครร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย 22 จังหวัด เขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 300,000 ไร่ มีเกษตรกร 60,000 ครัวเรือน ทั้งนี้ ภาครัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายการดำเนินกิจกรรมครัวเรือนละไม่เกิน 5 ไร่ ไร่ละ 2,000 บาท เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอหรือเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล ภายในวันที่ 18 กันยายนนี้”

                             ที่สาหัสทางความคิดหนักที่สุดคือ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่โพสต์เฟซบุ๊คถึงข่าวนี้ว่า “น่าเชื่อว่า 2 พันบาท ต่อไร่ จะตกลงไปไม่ถึงมือชาวนาครับ  ระหว่างทางมีอำมาตย์น้อยใหญ่ ข้าราชการหลายฝูง” ผีอำมาตย์ช่างหลอกหลอนแกได้ทุกเรื่องนะครับ (ฮ่าๆ)

2) ประชาชนส่วนใหญ่ 60.80% ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ เหมาะสมที่จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ภายหลังการเลือกตั้งในปี 2560 เพราะชื่นชอบในการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ เด็ดขาด ตรงไปตรงมา ชัดเจน สามารถจัดการบ้านเมืองให้มีความเรียบร้อยเป็นปกติ อีกทั้งในเวลานี้ยังมองไม่เห็นใครที่จะทำงานได้ดีเท่า (สถาบันพระปกเกล้าโพลล์)

                                   อันนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ท่านแสดงภาวะผู้นำและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ดีจริงๆ ภาพสะท้อนความนิยมในตัวท่านวันนี้ จึงยังชัดเจน เพียงแต่ต้องชวนประชาชนคิดให้ “เคลียร์” ขึ้นอีกว่า ไอ้ที่อยากให้ท่านมาเป็นนายกฯอีกรอบหนึ่งนั้น ตัวท่านเองอยากไหม กับข้อที่สำคัญกว่าคือ นายกฯ รอบหน้า ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์อย่างนี้แล้วนะ

                      แต่เป็น “ฝ่ายบริหาร” แท้ๆ ที่จะต้องมีฝ่ายค้านคอยตรวจสอบ และอาจเลยไปถึงตีรวน ป่วน ขัดแข้งขัดขา ไม่มีอำนาจตามมาตรา 44 แล้วนะ ใช้กฎหมายสามัญธรรมดาๆ นะ มีระบบดุลคานอำนาจมากขึ้นนะ สื่อไม่กลัวเหมือนตอนนี้นะ องค์กรอิสระต้องตรวจเข้มเลยนะ ภาวะของการ “นำบ้านเมือง” จึงมีบริบทต่างกัน เมื่อตัดความนิยมชมชอบ เชื่อใจ ไว้ใจออกไป ลองดูกันให้ลึกๆ ซิว่า จะมีฐานอะไรรองรับให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพได้เท่าปัจจุบัน ภาพสะท้อนจากโพลล์ที่เห็น จึงเป็นแค่ “ความต้องการ” ที่อาจยังไม่ได้คำนึงถึงบริบทที่แท้จริงในอนาคต

                             3) “หมอเจตน์” ยืนกรานให้ สว.ชงชื่อนายกฯได้ “วันชัย”ยันชงสว.มีอำนาจโหวต-เสนอชื่อ “ชาติชาย” แนะถาม “ประชาชน”บ้างตีความคำถามพ่วงอย่างไร ระบุ “กรธ.”ไม่ได้เขียนให้ “สว.” เสนอชื่อ “นายกฯ คนนอก”ตั้งแต่ต้น

                            ปรากฏการณ์ “ได้คืบจะเอาศอก บอกประชาชนไม่หมด เมื่อชนะประชามติ ก็จะมาตีความเพิ่มตามใจตัวเอง” มันบอกอะไร บอกว่าคนบางกลุ่ม บางพวก มัน “ไม่เห็นหัวประชาชน” และไม่สง่าผ่าเผย เรื่องนี้ควรจะเป็นที่ยุติ สปท. กับ สนช. บางคนควร “หุบปาก” แล้วให้กระบวนการของกรรมการร่างกับศาลรัฐธรรมนูญท่านทำหน้าที่ไป เว้นเสียแต่ท่านขอให้ไปอธิบายก็ค่อยไปอธิบาย หยุดทำให้สังคมสับสนและแตกแยก หรือคลื่นไส้ในการ “เลีย” ที่มากไปได้แล้ว

                             ในยามชี้แจงเรื่องคำถามพ่วงกับประชาชน กับกกต. และที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร ส่งให้ประชาชนว่าอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นเถิด สว.มาเสนอชื่อนายกฯ บ้านเมืองดีขึ้นอย่างไร? สว.ไม่ได้เสนอชื่อนายกฯ บ้านเมืองจะเลวลงอย่างไร? อยากเสนอชื่อมาก ก็ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ซะ จะได้หายอยาก

                             ผมนั้นยึดเอาคำอธิบายของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 ที่พูดออกรายการเดินหน้าประเทศไทย วันที่ 3
สิงหาคม ที่ผ่านมาเป็นหลัก ซึ่งท่านพูดเอาไว้ว่า “...เรียนพี่น้องประชาชนอย่างนี้ครับว่า ตามกติกาใหม่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น กำหนดที่มาของนายกรัฐมนตรีไว้ต่างกับรัฐธรรมนูญปี 2540 กับ 2550

                             ประการแรกคือ พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สส.แบบเขต จะต้องประกาศชื่อ บุคคลที่พรรคของตนเองเห็นสมควรให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ กกต. พรรคละ 3 รายชื่อ เพราะฉะนั้น ประชาชนก็จะได้เห็นก่อน ว่าพรรคการเมืองใด จะสนับสนุนใคร เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป

                              ประการที่สอง การนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภา ถ้าเกิดผ่านประชามตินะครับ ก็ไม่ได้หมายความว่า ที่ประชุมรัฐสภาจะเที่ยวไปหยิบเอาใคร ที่ตัวเองอยากได้ ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต้องเป็นไปตามกลไกที่กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กล่าวคือ ก็ต้องหยิบจากรายชื่อที่พรรคการเมืองเขาเสนอมา 1 ใน 3 รายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอนั่นแหละครับ ถึงจะมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นนายกรัฐมนตรี สอง-พรรคที่จะเสนอ ต้องเป็นพรรคที่มีเก้าอี้ที่นั่ง สส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 5% พรรคที่สอบตกทั้งหมด

                               ไม่มี สส. เลย ก็ไม่มีสิทธิที่จะเสนอชื่อบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรี สาม-ยังต้องมี สส. ในสภา ให้การรับรองเป็นเบื้องต้นไว้ก่อน อย่างน้อย 10% เพราะฉะนั้น ที่มาของนายกรัฐมนตรี จะผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาตั้งแต่ 3 รายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ แล้วให้สังคมได้ร่วมกันพิจารณาเป็นเบื้องต้นมาก่อน สอง-ต้องเป็นพรรคที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ มีเก้าอี้ที่นั่งไม่น้อยกว่า 5% สาม-ต้องมี สส. ซึ่งเป็นตัวแทนที่ประชาชนเลือกมาเอง ยึดโยงกับประชาชน ให้การรับรองรายชื่อบุคคลนั้นไม่น้อยกว่า 10% ด้วย

                             กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ เราก็เชื่อว่า น่าจะเป็นกระบวนการที่ทำให้ได้นายกรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจถึงบริบทของสังคมไทย ที่จะเป็นผู้นำธงในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และปิดท้ายด้วยการที่เราเสนอว่า ให้ที่ประชุมร่วมกันของทั้งสองสภา ช่วยกันพิจารณาโหวตว่า จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบบุคคลใดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี...”

                        ดังนั้น นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ จะยันว่าอะไร นายวันชัย สอนศิริ จะเคยอภิปรายไว้ว่าอะไร มันไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า คุณบอกกับประชาชนก่อนไปลงประชามติว่าอะไร จึงขอเรียนกับ คสช. เอาไว้เสียเลยว่า ในภายภาคหน้า หากอยากเห็นบ้านเมืองมีความสามัคคี แข็งขัน ก็หยุดเอาคุณๆ ท่านๆ ที่ได้คืบจะเอาศอกไปเป็น สว. ในวันข้างหน้าซะ ไม่งั้นพี่ๆ เหล่านั้น จะเลียหน้าแข้งท่านจนชุ่ม จะชักพาผู้คนมากินแหนงแคลงใจ และหมั่นไส้ในตัวท่านโดยไม่จำเป็น

                           4) พท.ขอ “บิ๊กตู่”เป็นทหารรุ่นสุดท้ายที่ยึดอำนาจ ดักคอ “ผบ.ทบ.”คนใหม่ ดูแลประชาชน และรัฐบาลเลือกตั้ง อย่าทำรัฐประหารอีก

                            นี่เป็นเสียงเรียกร้องจาก นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่กล่าวถึงการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่ว่า “...ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลใด แต่เมื่อมารับตำแหน่งผู้นำรั้วของชาติแล้ว ประชาชนคาดหวังให้ท่านเข้ามาดูแลประเทศและประชาชน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการทำรัฐประหาร คนที่เป็น ผบ.ทบ.เป็นส่วนสำคัญที่สุด ดังนั้นเมื่อเข้ามาแล้วขอให้ยึดมั่นในการเป็นกองทัพแห่งชาติ เพื่อประชาชน อย่านำกองทัพมายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขอให้การยึดอำนาจในรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นรุ่นสุดท้าย นอกจากนี้ขอให้ดำเนินการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง และขอให้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”

                            วรชัย เป็นภาพสะท้อนของคนบางจำพวก ที่หมกมุ่นอยู่กับการโทษว่าทหารเข้ามาทำรัฐประหาร โดยไม่ดูความจริงว่า เพราะการเมืองในระบบมันชั่วช้าสามานย์ ไม่สนใจหลักการ ไม่สนใจกฎหมาย ไม่สนใจความถูกต้องใช่ไหม จนทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหา ผู้คนลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องให้ออกไป ให้ปฏิรูป ไปโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จนศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่งทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรีอีกหลายราย จนเหลือแค่หยิบมือเดียว ที่ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติงบประมาณ หรือการตรากฎหมายเพื่อให้เกิดการเลือกตั้ง ในภาวะ “ทางตัน” อย่างนั้น

                           ทหารเขาเข้ามากระโดดถีบประตูให้บ้านเมืองมีทางออก โดยที่ทางตันนั้นเกิดจากความเห็นแก่ตัวของนักและพรรคการเมืองชั่วๆ ใช่หรือเปล่า วันนี้หากไม่ต้องการรัฐประหาร ก็หันมาเรียกร้องพรรคและนักการเมืองว่า อย่าชั่ว อย่าใช้อำนาจตามอำเภอใจ อย่าทุจริตคดโกง ดีกว่าไหม ถูกกว่าไหม?

                          5) รัฐบาลเลื่อนแถลงผลงานรอบ 2 ปี เป็น 15 ก.ย.2559

                          “...พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเดิมที่รัฐบาลกำหนดจะจัดแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี ในวันจันทร์ที่ 12 กันยายนนี้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อชี้แจงผลงานในช่วงที่ผ่านมาและสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต แก่สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศนั้น เนื่องจากในวันดังกล่าว มีรองนายกรัฐมนตรีบางคนติดภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ จึงจำเป็นต้องเลื่อนวันจัดแถลงผลงาน 2 ปี เป็นวันที่ 15 กันยายน ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. เพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีทุกคนได้ชี้แจงผลงาน ซึ่งจะทำให้การชี้แจงข้อมูลของรัฐบาลมีความครบถ้วนสมบูรณ์

                           ขณะที่รายการคืนความสุขของคนในชาติ คืนนี้ (9 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถึงแนวทางการแถลงผลงาน 2 ปี รวมทั้งแผนการนำเสนอผลงานเด่นของรัฐบาลเป็นเรื่องๆ ตามกลุ่มงานด้วย ส่วนรายการเดินหน้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน -
2 ตุลาคม ยังคงดำเนินการต่อไปเช่นเดิม ซึ่งรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนและสื่อมวลชน ติดตามผลงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และสิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคต โดยยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันปฏิรูปและพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป…”

                                ผมชอบใจที่นายกฯ รอให้รัฐมนตรีพร้อมและร่วมแถลงด้วย เพราะภาพการทำงานที่ผ่านมา เสมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบกเองทุกเรื่อง อธิบายเองทุกเรื่อง ให้สัมภาษณ์เองทุกเรื่อง จนรัฐมนตรีหลายคน ประชาชนไม่รู้จัก นี่ถึงเวลาแล้ว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำให้คนทั้งชาติเห็น “การทำงานเป็นทีม” ไม่ใช่ท่านแบกทุกอย่างอยู่คนเดียว แล้วก็เหนื่อย แล้วก็ป่วย แล้วก็เครียด แล้วก็หงุดหงิดดีแล้วล่ะครับ หยุดให้รัฐมนตรี “เพื่อนพ้องน้องพี่” กินแรง ออกมาฉายแสงเองบ้าง ดีกว่าอาศัยแสงสว่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ข้างเดียว ให้คนได้เห็นประสิทธิภาพของรัฐมนตรีบ้าง อย่าให้เขาครหาว่า จะรัฏฐาธิปัตย์หรือจะรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มันก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก ที่เก้าอี้รัฐมนตรีประเภท เพื่อนกัน ผู้ใหญ่ หรือ “ต่างตอบแทน” มีอยู่

เวลาปีกว่าๆ ที่เหลือตามโรดแมปก่อนมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องผลักดันรัฐมนตรีให้ทำงานให้มากขึ้น สื่อสารกับสังคมมากขึ้น แสดงความเป็นทีมให้มากขึ้น เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลในอนาคต “เลือกรัฐมนตรีจากผู้มีความรู้ความสามารถ” คนไหนไม่มีความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีผลงาน ก็กล้าปลด กล้าเปลี่ยน

1 ปีที่เหลืออยู่ เป็นช่วงสำคัญที่ท่านอยากเห็นบ้านเมืองในอนาคตเป็นอย่างไร ท่านต้องเป็น “คนเริ่ม” เริ่มจากการเลือกรัฐมนตรี เริ่มจากการปฏิรูปอะไรที่เรื่องใหญ่สักเรื่องให้เห็นว่า ถ้าเราจะทำ ก็ทำได้

                            เริ่มให้ประชาชนเข้ามา “มีส่วนร่วม” ให้มากขึ้น ตามคำว่า “ประชารัฐ”หรือ หุ้นส่วนประเทศ” ที่ท่านพูดบ่อยๆ ไม่ใช่ประชาชนเห็นท่านเป็นฮีโร่ เป็นวีรบุรุษ ก็ปล่อยท่านฉายเดี่ยวไป แถมจะให้เป็นนายกฯ สมัยหน้าต่ออีก โดยที่ท่านก็เอาแบบนั้นเสียด้วย ไม่ดึงประชาชนมามีส่วนร่วมสร้างและร่วมรับผิดชอบกับอนาคตประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปนั้น ประชาชนแทบไม่มีส่วนด้วยเลย แล้วความหวงแหนจนทำให้เขาออกมาทวงถามและปกป้องเรื่องการปฏิรูปในวันข้างหน้าจะเกิดขึ้นอย่างจริงจังได้อย่างไร


                            แต่ก่อนอื่น ขอให้ท่านเร่งตัดสินใจ เรื่องที่ประชาชนร้องขอให้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เป็นประธานพหุภาคี เพื่อหาทางออกในการพัฒนาพื้นที่หลังป้อมมหากาฬที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้เสียก่อนเถอะนะครับ ตรงนั้นจะเป็นเสาเข็มแรกที่ท่านตอกลงบนแผ่นดินให้เห็นว่า การพัฒนา รัฐจะกุมอำนาจทำอยู่ฝ่ายเดียว หรือจะให้ประชาชนมีส่วนคิด ทำ และกำหนดการพัฒนาด้วยได้ รีบตัดสินใจ อย่าได้ช้าเลยนะครับ!


 

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้