พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวว่า ศาสนาไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งพิเศษที่ช่วยทำคนให้เป็นคน และช่วยเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ป้องกันและยับยั้งการทุจริต และประพฤติมิชอบในบ้านเมืองได้ สำหรับประเด็นการทุจริตในชาติ
ตนเชื่อว่าการทุจริตไม่ได้ลดลง แม้จะได้อันดับที่ดีขึ้น แต่คะแนนยังเท่าเดิม ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวนั้น ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนา แต่ศาสนาทั้ง 5 ที่เข้าร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความเห็นนั้นจะเป็นเครื่องมือทำให้คนเข้าใจว่าการฉ้อฉล
โกงชาติบ้านเมือง เป็นบาป เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เป็นสิ่งที่ต้องละเลย สอนลูกหลานให้เข้าใจว่า การโกงเป็นสิ่งอับอาย ประเทศของเรามีการโกงอยู่ระดับสูง ตนคิดว่าพวกเราต้องอายและขายหน้า เพราะชาติเราเป็นชาติขี้โกง ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องช่วยลบล้างไม่ให้ว่าชาติขี้โกงได้
“ผมมองว่าศาสนาจะช่วยอบรมสั่งสอน บอกถึงความเลวร้ายของการโกงให้คนรู้ว่าเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด ผมเคยบอกว่าปัญหาเลวร้ายที่สุดในชาติ คือ คนในชาติโกงชาติของคุณเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าขายหน้ามาก การโกงไม่ใช่เพิ่งมีแต่มีหลายปีแล้ว มีตัวเลขที่ถูกศึกษาจะเห็นว่าประเทศเรานั้นค่อนข้างปราบปรามการโกงได้ช้า และหากช้าแบบนี้ตลอดไปจะทำให้บ้านเมืองแย่ลง” พล.อ.เปรม กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าการโกง คือการปล้นชาติ ซึ่งตนคิดว่าชาติของเราถูกปล้นโดยคนในชาติของเรา ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและอันตรายมากที่สุด ทั้งนี้ ตนดีใจ ที่สนช. คิดเรื่องนี้ และได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และการร่วมมือดังกล่าว จะทำให้กลไกปล้นชาตินั้นลดลง สิ่งที่ตนมักพูดถึงเสมอ คือ การประพฤติปฏิบัติไม่โกงต้องเริ่มที่ตัวเอง หากตัวเองไม่โกง ครอบครัวไม่โกง
องค์กรที่สังกัดไม่โกง ศาสนาจะเข้าไปช่วยได้ อย่างไรก็ตามการโกงที่เริ่มที่ตนเอง ต้องเริ่มที่เด็กไทย หากบอกเด็กว่าการโกงเหลวไหล ให้ข้อมูลตั้งแต่เกิด หรือในท้อง ซึ่งไม่ทราบว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำได้หรือไม่ หากทำได้ ต้องบอกว่าต้องไม่ปล่อยให้โกงชาติ ขณะที่เรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาลต้องฝังไว้ในความรู้สึกและทุกภาคส่วนเช่นกัน