ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตำแหน่งผู้นำสีกากี ผูกกับบุญทำกรรมแต่ง
นำเข้าเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2558 โดย  
อ่าน [58673]  

.....

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่  ตำแหน่งผู้นำสีกากี  ผูกกับบุญทำกรรมแต่ง
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่  ตำแหน่งผู้นำสีกากี  ผูกกับบุญทำกรรมแต่ง

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดูหน้าผมซิครับ....ฮ่าๆๆๆวิตกมั้ยครับ...ผมวิตกมั้ย...” ใครที่มีโอกาสดูคลิปสัมภาษณ์ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. เกี่ยวกับประเด็นข่าวถูกปลดก็อาจจะรู้สึกแปลกใจ เพราะสิ่งที่ท่านยืนยันว่าไม่ให้ราคากับข่าวนี้ดูเหมือนว่าจะขัดกับการแสดงออกที่ไม่สมจริงสมจังสักเท่าไหร่ อาการแค่นหัวร่อของท่านนั่นแหละ แถมยังบอกให้กล้องจับสีหน้าของท่านด้วยว่าท่านมิได้มีอาการวิตกกังวลใดๆ
       
       สอดรับกับการออกมายืนยันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกอารมณ์หงุดหงิดเมื่อโดนนักข่าวถาม... ลุงตู่ ยืนยันว่า
       
       "ใครบอกจะปลด เอาข่าวมาจากไหน ผมไม่ได้เป็นคนปลด ใครเป็นคนปลด นายกฯหรือเปล่า ใช่ไหม อำนาจนายกฯ หรือเปล่า นายกฯไม่ได้ปลดนิ จบหรือยัง และไม่คิดจะปลดด้วย ยังไม่มีความผิดอะไรนี่นา ผบ.ตร.ก็มีการจับกุมดำเนินคดีตามนโยบายตลอด อย่าเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพันกันไปมั่ว ไม่เอา เอางานของเขาว่าทำได้หรือเปล่าวันนี้เขาทำได้ มีคดีความอะไรก็จับได้ ค้ามนุษย์ก็จับได้ ข้าราชการมีตำรวจที่เกี่ยวข้องเขาก็จับมา ผมจะไปปลดเขาทำไม ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ ถึงจะปลด"
       
       ถัดมาอีกวัน พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาการันตีอีกคน เป็นอันว่าข่าวลือ หรือข่าวตีปลาหน้าไซ จะจริงหรือไม่จริงก็คงพักยกไปก่อน ส่วนจะมีมูลแค่ไหนเล่นเอา“บิ๊กอ๊อด”หัวร่อแบบฝืดๆ โชว์นักข่าวไปแล้ว
       
       จะมีติดใจอยู่นิดก็ตรงที่คุณลุงตู่ บอกว่าคดีอะไรๆ ก็จับได้หมด ขอทบทวนความจำนิดนึง....คดีระเบิดไปป์บอมบ์ 2 ลูก ที่ห้างสยามพารากอน เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 หรือ 2 เดือนเศษมาแล้ว ที่คุยกันว่ามือระเบิดรูปหล่อเหมือน ณเดชน์ มีภาพวงจรปิดเห็นกันตั้งแต่นั่งรถมาปฏิบัติการ ยันขึ้นแท็กซี่หนีวันนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้
        
       ตูมตามสนั่นเมืองขนาดนั้นไม่ทราบว่าคุณลุงลืมได้อย่างไร
       
       คดีนี้มีตำรวจคนดังเข้าคลี่คลาย 2 นายคือ “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และ“บิ๊กปู”พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. โดยจัดตั้งทีมสืบสวนเป็นสองทีม “ธง”ของรองแป๊ะ เน้นเรื่องการเมืองส่วนทีม “บิ๊กปู”บอกว่า ขอเน้นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏโดยไม่ฟันธงว่าเป็นเหตุการเมืองหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะมาจากเรื่องอะไร ใครเป็นคนทำ ขอย้ำว่าย่างเข้าเดือนที่ 3 แล้วยังไม่มีอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน...อย่างนี้ถ้ามีนักข่าวปากกล้าขาสั่นไปถาม “บิ๊กป้อม”ว่าตกลงใครทำกันแน่ “คนนอกหรือคนใน” ท่านก็อย่าไปโกรธเรียกห่าเรียกห่านอะไรเพราะแบบนี้เขามีสิทธิ์ถาม ถ้าไม่ใช่“คนใน”ก็ควรมีเหตุผลดีๆ มาอธิบายกัน
       
       กลับมาเรื่องย้าย ผบ.สมยศ ดีกว่า
       
       จริงไม่จริง ใช่ไม่ใช่ แต่ยอดคนติดตามรายงานคอลัมน์ สน.พระอาทิตย์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็เฉียดแสนไปแล้ว เหตุผลของการเด้งเขาระบุว่า เป็นสูตรสำเร็จก่อนการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจในแทบทุกครั้ง อาจจะเป็นแรงบีบของผู้มีอำนาจ หรืออาจเป็นพฤติการณ์ “กำเริบ”ของบิ๊กตำรวจบางคน โดยเฉพาะการประวิงเวลาการแต่งตั้ง พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบช.ก. เป็น ผบช.ก. อย่างเต็มตัว และศึกวัดพลังระหว่าง “บิ๊กอ๊อด”กับ “บิ๊กปู”กรณี พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 ที่บกพร่องจากเหตุบ่อนพนันเตาปูน ซึ่ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้พยายามชี้แจงไปแล้วหลายครั้งว่า ไม่พบความบกพร่องของตำรวจใต้บังคับบัญชา แต่จนแล้วจนรอด ผบ.ตร. ก็ยังไม่ยอมคืนตัว พล.ต.ต.ก่อเกียรติ ที่ถูกย้ายไปประจำอยู่ ศปก.ตร.
       
       การประลองพลังครั้งนี้ สังคมตำรวจต่างพากันจับตาและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่าระหว่าง “เก่งเล็ก -เก่งใหญ่” ใครจะไปก่อน
       
       ดังนั้นข่าวเด้ง ผบ.ตร. ที่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะมองอย่างดูแคลนขนาดไม่ให้ราคา หรือไม่สนใจคงไม่ใช่ ทำนองไมมีมูลสุนัขไม่อุจจาระ ไม่มีไฟไฉนจะมีควัน เฉกเช่นกับกระแสกดดันจนอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนเมษาฯ ฤดูร้อน
       
       อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์ลองติดตามเส้นทางของเหล่า “บิ๊กตำรวจ” ในอดีตซึ่งมีความเชื่อน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ การก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดของยุทธจักรสีกากีนั้น นอกจากความพร้อมในทุกด้านแล้วยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ“บุญวาสนา”
       
       ทำนองแข่งอะไรแข่งได้ แข่งบุญวาสนาแข่งยาก ส่วนการอยู่ครบเทอม หรือเด้งดึ๋งไปก่อนเวลาอันควรว่ากันว่าเป็นเรื่องธรรมดาดังคำพระท่านว่า มีลาภเสื่อมลาภ เมื่อถึงคราวรุ่งเรืองสุดขีดก็อย่าลืมตอนตกต่ำที่อาจมาเยือนทุกเวลา บางคนก็เชื่อในเรื่องผลกรรม 
       
       “กรรม”ของคนใหญ่คนโตในกรมปทุมวัน มีทั้งคดโกงต่อหน้าที่ ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บางคนหนักข้อ ยึดเอาสำนักงานเป็นที่ซ่องสุม สมัยหนึ่งถึงขนาดมีห้องเชือด เป็นที่เลื่องลือว่าทุกบ่ายจะมีพ่อเล้าแม่เล้าระดับประเทศ นำหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีมาปรนเปรอถึงสำนักงาน และจำนวนไม่น้อยที่ผลกรรมตามสนอง เคยวางแผนโค่นใครเขา เมื่อถึงเวลากรรมเก่าก็ย้อนกลับมาเล่นงานถูกคนอื่นโค่นบ้าง ต้องปิดฉากความยิ่งใหญ่ด้วยความอดสู บางรายทำใจไม่ได้ กลายเป็นโรคซึมเศร้าต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควร
       
       “กรรม”ที่กระทำขึ้นคนในรั้วปทุมวันเชื่อกันรุ่นต่อรุ่นว่า “พ่อเผ่า” หรือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ คือความศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองปกป้อง ให้คุณให้โทษแก่บริวารว่านเครือ ลูกหลานตำรวจสืบเนื่องต่อมาหลายยุค
       
       ตัวแทนแห่งความระลึกถึงและเลื่องลือในอาถรรพณ์ก็คือ ภาพถ่ายเต็มตัวขนาดใหญ่ที่ตระหง่านอยู่บนชั้น 3 ของอาคารส่วนหน้า (อาคารเก่า) เคยมีตำนานเล่าขานต่างๆ นานา จนถึงทุกวันนี้ หากพบรถถังจำลองหรือของเด็กเล่น คู่กับซิกการ์ ก็ขอให้ทราบว่าทั้ง 2 สิ่งคือ “ของชอบ”ของ “พ่อเผ่า”ที่ลูกหลานเหลนมีความเชื่อนำมาบนบานศาลกล่าว
       
       สำหรับนายตำรวจผู้นำสูงสุด ใครเป็นใคร รุ่งและร่วงอย่างไร ขอเริ่มที่ พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ เมื่อครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเป็น “กรมตำรวจ”พล.ต.อ.ศรีสุข อยู่ในตำแหน่งปีเดียวก็ถูก นายสมัคร สุนทรเวช รมว.มหาดไทย ในตอนนั้น ย้ายไปเป็นผู้ตรวจกระทรวงฯ เหตุเกิดปี 2518 ซึ่งมีเหตุการณ์ทางการเมือง
       
       พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธ์คงชื่น เป็นอธิบดีกรมตำรวจ หรือ อ.ตร. คนต่อไป ในปี 2519 -2524
       
       พล.ต.อ.สุรพล จุลละพราหมณ์ เป็น อ.ตร. สืบมาจนถึง 2525 และเข้ายุค พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ เป็น อ.ตร. ยาวนานถึง 5 ปี ระหว่าง พ.ศ.2525 -2530 และถือเป็นผู้นำกรมตำรวจที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน จนเกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็พบว่าท่านมีอายุอ่อนกว่าน้องชาย 5 ปี
       
       จากนั้นมาสู่ยุค พล.ต.อ.เภา สารสิน ซึ่งถือว่าเป็นวีรบุรุษของชาวสีกากี ที่ใช้อุบายย้ายอนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน หรือ จ่าอุ้ม ออกไป แล้วขอพระบรมราชานุญาตสร้างอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ผู้ทรงริเริ่มก่อตั้งสถาบันตำรวจขึ้นแทน เพื่อต้านกับกลุ่มทุนที่กำลังจ้องเขมือบที่ดินแปลงงาม นั่นก็คือ ที่ตั้งกรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน เพราะก่อนหน้าแม้แต่วังเพชรบูรณ์ ก็ยังถูกเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์การค้าไปก่อนหน้าแล้ว อ.ตร.เภา ทำหน้าที่จนครบวาระ ในระหว่าง พ.ศ.2530 -2532
       
       ต่อด้วย พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของกรมปทุมวัน การบริหารงานในช่วงแรกผ่านไปด้วยความราบรื่น จนมาถึงช่วงปลายอำนาจคือ พ.ศ.2534 เกิดกระทบกระทั่งกับขั้วอำนาจ และคนใก้ลชิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ว่ากันว่า มีนายทหารคนดังในยุคนั้นอยากได้ป้ายทะเบียนรถเลขสวย ซึ่งในยุคนั้น งานทะเบียนป้ายรถยนต์ยังขึ้นตรงกับตำรวจ จึงมีการสนองตอบให้เลข 111 ไป ต่อมามีหมอดังยื่นความจำนง ขอเลขตอง 555 บ้าง แต่ถูกปฏิเสธ ยุทธการเลื่อยขาเก้าอี้จึงเกิดขึ้น และเข้าสู่ยุคสมัยของ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. เมื่อพ.ศ.2534 แต่ก็ไปไม่รอด เป็น อ.ตร.อยู่ 2 ปี โดนการเมืองเล่นงานฐานไม่สนองนโยบาย และมีเรื่องราวเพชรซาอุฯ เข้ามาเกี่ยวข้องถูกปลดกลางอากาศให้ไปช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทย และขยับ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 8 เดือนจะเกษียณอายุราชการ ขึ้นมาเป็น อ.ตร.
       
       หมดยุคตำรวจตรงฉินเข้าสู่ยุคนายตำรวจนักประชาสัมพันธ์ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เป็น อ.ตร.เมื่อปี 2537 ในช่วง 3 ปีที่ครองอำนาจ ถูกโจมตีด้วยเรื่องซื้อขายตำแหน่งอย่างหนัก จนมาถึงช่วงปลายอำนาจ พ.ศ. 2539 ถูกข้อหาปล่อยปละละเลยให้คนใก้ลชิดไปมีเอี่ยวกับบ่อนหมูทอง ในที่สุดถูกปลดไปนั่งตบยุงอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย จนเกษียณอายุราชการ
       
       พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นอ.ตร. คนสุดท้ายก่อน “กรมตำรวจ” เปลี่ยนโครงสร้างมาเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”และ “บิ๊กผิว”ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็น ผบ.ตร.คนแรกอีกด้วย แต่ด้วยตำแหน่งที่ผู้มีอำนาจอยากร่วมแจม ร่วมแชร์ประโยชน์ต่างๆ ที่สุดแล้ว พล.ต.อ.ประชา ก็ไปไม่รอด ต้องรีบลาออกไปเล่นการเมืองก่อนโดนปลด และช่วงที่เข้ามาบริหารจนวาระสุดท้ายของการเป็นตำรวจ คือ พ.ศ.2541 -2543
       
       พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. เมื่อปี 2543-2544 เป็นเวลา 1 ปี จากนั้น พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ช่วงพ.ศ.2544-2547 โดนปลดเพราะไม่สนองตอบนโยบาย และปีนเกลียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เมื่อการเมืองจัดการกับ พล.ต.อ.สันต์ ไปแล้ว จึงแต่งตั้ง พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ มารักษาการ ผบ.ตร. ก่อนได้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นตัวจริงเมื่อ พ.ศ.2547 -2550
       
       พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป ก่อนถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สั่งปลด เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2551 โดยมีเบื้องหน้า เบื้องหลัง มาจากความขัดแย้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างหนัก และทำงานไม่เข้าตานักการเมือง
       
       อย่างไรก็ตาม ช่วงมีกระแสข่าวปลด ผบ.ตร.นั้น มีนักข่าวไปสอบถามนายสมัคร ซึ่งได้รับคำตอบว่า ไม่มีความคิดปลด ผบ.ตร. เพราะท่านก็ทำงานได้ดี แต่ปรากฏว่า มีการเซ็นคำสั่งล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2551 แล้ว หลังปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นายสมัคร ก็เดินทางไปเยอรมันทันที
       
       หมดยุคเสรีฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ในปี 2551 ซึ่งมีเหตุการณ์ทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา และจากการใช้กำลังสลายกลุ่มพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก “บิ๊กปร๊อท”ถูกปลดจากเก้าอี้ในปี 2552 ช่วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นรักษาการ ต่อด้วย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ช่วงปี 2552-2553 แต่ไม่มีใครสามารถเป็น ผบ.ตร ได้เต็มตัว เนื่องจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)ในขณะนั้น ร่วมแรงร่วมใจต่อต้านคำสั่งนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มีการผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น จนพ.ศ. 2554 พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กลับมาเป็น ผบ.ตร.อีกครั้ง แต่ก็ไปไม่รอด ถูกการเมืองบีบด้วยเรื่องบ่อนพระราม 9 และ “ใบลาป่วย”เจ้าปัญหา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ จึงขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ในยุคต้นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารงาน 1 ปี เกษียณอายุราชการก่อนส่งไม้ต่อให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็น ผบ.ตร. ตั้งแต่ พ.ศ.2555 -2557
       
       วันที่ 22 พ.ค.2557 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พล.ต.อ.อดุลย์ เข้าเป็นรองหัวหน้าคณะคสช. และมีการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นรักษาการ ผบ.ตร. ในระหว่างนั้นมีความพยายามขอร้องให้ พล.ต.อ.อดุลย์ ลาออก เพื่อเปิดทางให้ “บิ๊กกุ้ย” ได้ลิ้มลองตำแหน่ง ผบ.ตร. อย่างเต็มตัวสักหนในชีวิต แต่โชคชะตากำหนดให้แค่เป็นรักษาการ จนมาถึงยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง
       
       ตลอดเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ของ “บิ๊กอ๊อด” มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย และที่โดดเด่นที่สุดก็คือ การล้างบางขุมอำนาจมาเฟียสอบสวนกลางโดยการดำเนินคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีต ผบช.ก. กับพวก และคดีฆ่าพระหมอ ที่สามารถจับกุมกลุ่มมือปืน และผู้จ้างวานฆ่าได้ทั้งหมด นอกจากนั้น ยังมีผลงานปราบปรามยาเสพติด และจัดระเบียบสังคมต่างๆ จนน่าพอใจ หากแต่ว่าความซับซ้อนของอำนาจเมื่อถึงคราวประโยชน์ไม่สอดประสาน ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น
       
       พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง มีประวัติเป็น ผบ.ตร. คนที่ 10 เป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลไปแล้ว อนาคตที่เหลือแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะออกมาดับกระแสข่าวไปแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับไปในอดีต ทั้งอธิบดีกรมตำรวจ-ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีอันเป็นไปท่ามกลางคำรับรองอย่างแข็งขันแบบนี้ 
       
       ถ้าท่านมั่นใจว่า คิดดี ทำดี ก็ไม่ต้องวิตกกังวลใดๆ อย่างน้อย “พ่อเผ่า” ท่านคงยืนอยู่เคียงข้างล่ะ แล้วอย่าลืมเอารถถัง กับซิการ์ไปถวายท่านด้วย

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้