“มะเร็งเต้านม” กับผู้หญิงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน และในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าอัตราผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสนับสนุนให้ทําการ “ตรวจคัดกรอง” หรือที่เรียกว่า “Screening” เพื่อตรวจหาความผิด ปกติตั้งแต่ระยะเริ่มแรก หรือก่อนระยะลุกลามซึ่งมีโอกาสหายขาดได้ โดยมีวิธีการให้เลือก 3 แบบ ดังนี้
• การตรวจแมมโมแกรม
• การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางแพทย์ที่ได้รับการอบรมพิเศษ
• การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
วิธีแรก “แมมโมแกรม” (Mammogram) ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุด โดยใช้เครื่องมือเฉพาะเพื่อเอกซเรย์เต้านม ด้วยวิธีการกดเต้านมและถ่ายภาพข้างละ 2 ท่า จากนั้นรังสีแพทย์จะทําการแปลผล โดยปกติแนะนําให้ผู้หญิงอายุ 40 ปี ขึ้นไปตรวจด้วยวิธีนี้ทุก 1-2 ปี โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงคือผู้ที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ในครอบครัว และ หากสมาชิกเหล่านั้นเป็นมะเร็งก่อนอายุ 50 ปีหรือมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งหลายคนจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ได้แก่ผู้ที่เคยฉายแสงบริเวณหน้าอกตั้งแต่อายุน้อย เคยได้รับการเจาะชิ้นเนื้อหรือผ่าตัดเต้านมแล้วมีเซลล์ผิดปกติและมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมในเต้านมอีกข้าง นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเสริมทดแทนในวัยทองก็ควรได้รับการตรวจแมมโมแกรมทุกปี เพราะมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิง การได้รับฮอร์โมนเสริมอาจทําให้มะเร็งที่ซ่อนอยู่โตเร็วขึ้น
หลายคนอาจสงสัยว่าคนหน้าอกใหญ่มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าคนหน้าอกเล็กหรือไม่ ในความเป็นจริง ขนาดของเต้านมไม่ใช่ปัจจัยที่จะบอกว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ แต่ปัจจัยสําคัญกว่าคือความหนาแน่นของเนื้อเต้านม ซึ่งหมายถึงสัดส่วนระหว่างเนื้อกับไขมันในเต้านม ผู้ที่มีความหนาแน่นของเนื้อมากจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม มากกว่า แต่ทั้งนี้ความเสี่ยงก็ไม่ได้มากเท่ากับกลุ่มที่มีสมาชิกใรครอบครัวเป็นมะเร็งหรือมีประวัติมาก่อน
หลังการตรวจแมมโมแกรม บางครั้งรังสีแพทย์อาจต้องตรวจอัลตร้าซาวด์เพิ่มเติมโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความหนาแน่นของเนื้อเต้านมมาก เพราะอาจบดบังสิ่งผิดปกติจากการตรวจแมมโมแกรม นอกจากนี้ อัลตร้าซาวด์ยังช่วยหาคําตอบว่าสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่สงสัยในแมมโมแกรมเป็นความผิดปกติจริงหรือไม่ รวมทั้งสามารถแยกแยะชนิดของความผิดปกติ (ก้อนเนื้อหรือถึงน้ํา) ที่แมมโมแกรมไม่สามารถแยกได้ด้วย อย่างไรก็ตาม อัลตร้าซาวด์ไม่สามารถทดแทนแมมโมแกรมได้ เนื่องจากมีข้อจํากัดในการตรวจแคลเซี่ยมหรือหินปูน ซึ่งมะเร็งเต้านมก่อนระยะลุกลามส่วนใหญ่จะมีแคลเซี่ยมเป็นสิ่งผิดปกติชนิดเดียวที่ตรวจพบได้ด้วยแมมโมแกรม
มีข้อควรคํานึงเล็กน้อยคือช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดสําหรับการตรวจแมมโมแกรมคือ 7-14 วันหลังหมดประจําเดือน แต่ในทางปฏิบัติการนัดตรวจผู้ป่วยอาจไม่ตรงกับช่วงเวลาดังกล่าว ผู้รับบริการไม่ต้องรู้สึกกังวลเพราะช่วงดังกล่าว มีผลกระทบต่อการแปลผลของรังสีแพทย์ไม่มากนัก
วิธีที่สองคือ การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษ หรือ Clinical Breast Examination (CBE) ในประเทศไทยแนะนําให้เริ่มตรวจเต้านมด้วยวิธีนี้เมื่ออายุ 40 ปี ปีละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยวิธีนี้มีข้อจํากัดเพราะว่าก้อนเมื่อคลําได้ต้องมีขนาดพอสมควร อีกทั้งแคลเซียมชนิดที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งไม่สามารถคลําพบด้วยวิธีนี้
วิธีที่สามคือ การตรวจเต้านมด้วยตนเอง หรือ Breast Self-Examination (BSE) การตรวจวิธีนี้จะเกิดประโยชน์ ถ้าทราบวิธีการที่ถูกต้อง แต่ถึงกระนั้นวิธีนี้ก็มีข้อจํากัดคล้ายวิธี CBE คือ กว่าจะตรวจพบก้อนหรือความผิดปกติที่เต้านม โรคก็ดําเนินไประยะหนึ่งแล้ว กล่าวคือ โอกาสจะตรวจพบมะเร็งในระยะแรกเป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ดี การตรวจ BSE ในประเทศไทยยังมีประโยชน์เนื่องจากเครื่องแมมโมแกรม อัตรารังสีแพทย์และเจ้าหน้าที่รังสีเทคนิคมีจํานวนจํากัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติจึงแนะนําให้ผู้หญิงไทยอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปตรวจเต้านมด้วย ตนเองทุก 1 เดือน ซึ่งข้อพึงระวังคือการตรวจด้วยตนเองอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หรือมีความคลาดเคลื่อนเรื่อง ก้อนเนื้อบนเต้านม แต่ถึงกระนั้น การตรวจวิธีนี้ก็มีประโยชน์ในแง่ที่กระตุ้นให้ผู้หญิงเอาใจใส่สุขภาพเต้านมของตนเอง เพราะไม่มีใครคุ้นเคยกับเต้านมของเราเท่าตัวเราเอง การตรวจพบความผิดปกติจะช่วยให้มาพบแพทย์ได้เร็วขึ้น
พ.ญ.ชลทิพย์ วิรัตกพันธ์
คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี