.....ปัญหาและความขัดแย้งอันกลายเป็นวิกฤต ยุ่งเหยิงอยู่ในสังคมประเทศไทยในขณะนี้มีบทสรุปมากมาย
บ้างก็ว่าเป็นเพราะนักการเมือง คอร์รัปชั่น โกงกิน
บ้างก็ว่าเป็นเพราะการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย เห็นอย่างเด่นชัดนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา
แต่หากแยกแยะลงไปแล้วน่าจะอยู่ที่การไม่สำนึกตระหนักใน �หน้าที่� มากกว่า
คงจำนิทานเรื่อง 1 ได้ว่า แต่ละองคาพยพในร่างกายขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ต่างอ้างความสำคัญของตน จนในที่สุดแต่ละส่วนก็หยุดไม่ทำงาน
เพื่อยืนยันว่า หากตนไม่ทำงานอะไรจะเกิดตามมา
ผลที่สุด ไม่เพียงแต่องคาพยพอื่นจะได้รับความเดือดร้อน หากร่างกายโดยองค์รวมก็ได้รับความเดือดร้อน แม้กระทั่งเจ้าตัวที่เป็นฝ่ายประท้วง ไม่ยอมทำงานทำการ
ทั้งหมดนี้เพราะละเมิด �หน้าที่�
ดูกันง่ายๆ เรื่องกฎหมาย เรื่องรัฐธรรมนูญ หากประกาศและบังคับใช้ออกมาแล้วไม่มีใครเคารพ ไม่มีใครปฏิบัติตาม อะไรจะเกิดตามมา
หากการไม่ยอมทำ �หน้าที่� กลายเป็นเรื่องปกติ
พรรคการเมืองไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายพรรคการเมือง นักการเมืองไม่ยอมเคารพ แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ที่ตนกระทำในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ
ผลจะเป็นอย่างไร
หนทางที่ดำเนินไปคือหนทางแห่งการไร้ขื่อแป ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครฟังใคร ผู้ใหญ่ไม่เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยไม่เป็นผู้น้อย นิ้วก้อยก็จะแสดงตนเป็นเหมือนนิ้วโป้ง นิ้วโป้งกระทำตนเหมือนกับเป็นนิ้วก้อย
เกิดเป็นอาเพศ มิคสัญญีก็จะตามมา
การออก แถลงการณ์� ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดูเผินๆ เหมือนกับสะท้อนความห่วงใยต่อปัญหาที่มีอยู่และที่อาจจะเกิดขึ้น
ความหมายก็คือ การขอให้ฟังเสียงจาก �กปปส.� ให้มาก
ความหมายก็คือ ความไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ความหมายก็คือ อยาก �เลื่อน� การเลือกตั้งออกไป
ความหมายที่มิได้มีการแถลงก็คือ ความไม่สามารถอย่างเพียงพอที่จะยอมรับบทบาทและความหมายของตนในฐานะผู้บริหารจัดการในเรื่องการเลือกตั้ง
ความหมาย คือ การไม่รู้จัก �หน้าที่�
ถามว่าที่กกต.ไม่รู้จักหน้าที่เป็นเพราะเบาปัญญา หรือเป็นเพราะความไม่รอบรู้ในตัวบทกฎหมาย
ไม่น่าจะใช่เพราะว่าแต่ละคนล้วนมากด้วยประสบการณ์ แต่ละคนล้วนผ่านการทำหน้าที่อื่นๆ มาแล้ว และมีไม่น้อยที่เคยเป็นตุลาการ เคยเป็นผู้ใช้กฎหมาย
เว้นแต่จะยอมตนเป็น 1 ในเครือข่ายล้ม �เลือกตั้ง�