สธ.เผย ขณะนี้คนไทยเกือบ 1 แสนคน ป่วยเป็นโรคถุงลมปอดโป่งพอง สาเหตุกว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสูบบุหรี่ ขณะที่ทั่วโลกมีรายงานป่วยปีละกว่า 80 ล้านคน เสียชีวิตติดอันดับ 4 ของโลก ปีละกว่า 3 ล้านคน แนะวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การเลิกสูบบุหรี่ทุกชนิด โดยไทยเตรียมเพิ่มกฎหมายควบคุมยาสูบบารากู่ เนื่องจากพิษแฝงในกลิ่นผลไม้ แรงกว่าสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน...
วันที่ 20 พ.ย. 56 นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การอนามัยโลกและองค์การโรคถุงลมโป่งพองแห่งโลก ได้กำหนดให้วันพุธในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ย. ของทุกปี เป็นวันรณรงค์โรคถุงลมโป่งพองโลก (World COPD Day) ในปีนี้ตรงกับวันที่ 20 พ.ย. 2556 เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายของโรคถุงลมโป่งพอง พร้อมกระตุ้นเตือนให้บุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุข ตระหนักว่าโรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศ อันมีสาเหตุเนื่องมาจากการสูบบุหรี่
โรคถุงลมปอดโป่งพอง หรือโรคซีโอพีดี (COPD : Chronic Obstructive Pulmonary Disease) เกิดจากการสูดหายใจเอามลพิษ ในรูปของก๊าซ หรือฝุ่น เช่น ควันบุหรี่ และควันจากการเผาไหม้เข้าไป สารพิษจากควันดังกล่าว จะไปทำลายระบบทางเดินหายใจ ทำให้เนื้อเยื่อปอดเสื่อมสภาพ เกิดอาการอักเสบ เป็นโรคที่มีความทุกข์ทรมานและรุนแรงมากที่สุด มักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อเป็นโรคแล้วจะรักษาไม่หายขาด มีอาการคือ หายใจยากลำบาก หอบง่าย ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก องค์การอนามัยโลกระบุว่า มีผู้ป่วยทั่วโลกเป็นโรคนี้กว่า 80 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 3 ล้านคน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 4 รองจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเส้นเลือดในสมอง คาดว่าในอีก 7 ปี หรือในปี 2563 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มอีกร้อยละ 30
ส่วนประเทศไทย สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานมีผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และถุงลมปอดโป่งพอง เข้ารับการรักษาที่ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลทุกระดับของกระทรวงสาธารณสุข จาก 46 จังหวัด ระหว่างปี 2550-2554 จำนวนสะสม 99,433 คน สาเหตุร้อยละ 90 เกิดมาจากการสูบบุหรี่ และที่น่าสังเกตพบว่า ผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 40 ปี จำนวนเกือบ 5,000 คน จึงกล่าวได้ว่าผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีโอกาสเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ทุกคน ช้าหรือเร็วขึ้นกับจำนวน ระยะเวลาของการสูบบุหรี่
ในการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ 3 ลด 3 เพิ่มในปี 2555 ถึง 2557 โดย 3 ลด ประกอบด้วย 1.ลดนักสูบรายใหม่ 2.ลดนักสูบรายเก่าในเขตชนบท โดยเฉพาะผู้สูบยาเส้น 3.ลดควันบุหรี่มือสองในที่ทำงาน ที่สาธารณะ และบ้าน ส่วน 3 เพิ่ม ได้แก่ 1.เพิ่มกลไกการป้องกัน อุตสาหกรรมยาสูบ แทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบของรัฐ 2.เพิ่มผู้ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบในระดับพื้นที่จังหวัดและท้องถิ่น และ 3.เพิ่มนวัตกรรมการควบคุมยาสูบ
นอกจากนี้ ยังมีศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 ในปี 2555 มีผู้ใช้บริการกว่า 1 แสนครั้ง ผลจากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุด ในปี 2554 พบว่าประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 53.9 ล้านคน เป็นผู้สูบบุหรี่ 11.5 ล้านคน นอกจากนี้ พบว่าผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่เป็นประจำ มีอายุเฉลี่ยน้อยลง และยังมีผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ในตลาดสดและตลาดนัดในบ้าน และที่ทำงานอีกด้วย
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามปกติ พื้นที่ในปอดจะมีถุงลมเล็กๆ กระจายเต็มทั่วปอด ทำหน้าที่ขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกทางการหายใจ และนำออกซิเจนเข้าสู่เลือด โดยสารไนโตรเจนไดออกไซด์ในควันบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อ และถุงลมในปอดให้ฉีกขาดทีละน้อย และรวมตัวกลายเป็นถุงลมขนาดใหญ่ มีผลให้พื้นที่ผิวเนื้อเยื่อปอดลดลง ทำให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ การก่อตัวของโรคถุงลมโป่งพอง จะค่อยเป็นค่อยไปในระยะเริ่มแรก จะเริ่มมีการอุดกั้นของหลอดลมเล็กๆ ยังไม่มีอาการป่วย
หากหยุดสูบบุหรี่สำเร็จ จะสามารถกลับคืนสู่ปกติได้ หากอยู่ในระยะที่มีอาการป่วยแล้วคือ ไอ เหนื่อยง่าย หายใจหอบ และลำบาก หากหยุดสูบบุหรี่ จะช่วยชะลออาการป่วยได้ แต่หากยังสูบบุหรี่ต่อไปอีก จะทำให้เกิดอาการรุนแรง หายใจลำบาก และหัวใจวายเกิดขึ้น ระยะนี้ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องพึ่งออกซิเจน รักษาไม่หายขาด ทำได้เพียงการกินยาและพ่นยา ช่วยให้อาการดีขึ้น การป้องกันโรคนี้ที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือ การไม่สูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีการสูบบุหรี่ หรือมีควันพิษต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ที่น่าห่วงขณะนี้พบว่า วัยรุ่นไทยหันมาสูบบารากู่กันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าไม่มีอันตราย หรือมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ซิกาแรต เนื่องจากเป็นการเผาไหม้กากผลไม้ ควันมีกลิ่นหอม และควันผ่านกระเปาะน้ำก่อนสูดเข้าสู่ร่างกาย ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ควันบุหรี่ที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูง ทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนัก และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน
ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ และเพิ่มการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ โดยผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว อยู่ระหว่างการปรับแก้ข้อความตามข้อคิดเห็นของประชาชน คาดว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ในปีหน้า ในระหว่างที่รอพระราชบัญญัติฉบับใหม่ ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง งดการอนุญาตการนำเข้า รวมถึงการจำหน่ายสารสกัดนิโคตินในประเทศ ควบคู่กับเครื่องสูบยาชนิดต่างๆ ยกเว้นหมากฝรั่งอดบุหรี่และแผ่นแปะนิโคติน ที่ได้ขึ้นทะเบียนยาเพื่อลดการติดบุหรี่เท่านั้น.