กลุ่มนิติราษฎร์ จัดงาน '2ปี นิติราษฎร์ 6 ปี รัฐประหาร' ชี้กระแสตอบรับกลุ่มดีเกินคาด แต่ระบบยังไม่เปลี่ยน จัดหนักวิพากษ์สังคมนักกฎหมายกับผู้ทำรัฐประหารเหมือนเป็นผีเน่ากับโลงผุ ย้ำข้อเสนอกลุ่มให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ กร้าวรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องปฏิรูป องคมนตรี องค์กรทางการเมือง ตุลาการ องค์กรอิสระ และกองทัพ..
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยกลุ่มนิติราษฎร์ นำโดย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายธีระ สุธีวรางกูร จัดกิจกรรม "2 ปี นิติราษฎร์ 6 ปี รัฐประหาร" มีอภิปรายเรื่อง “รัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ” และ “บทบาทของ คอป. กับการ "ปรองดอง"?” โดยภายในงานมีการทำกิจกรรมรำลึกและไว้อาลัยนายนวมทอง ไพรวัลย์ “6 ปี แท็กซี่ชนรถถัง” ด้วย ท่ามกลางกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงและแนวร่วม มาร่วมงานกันคับคั่ง โดย นายเกษียณ เตชะพีระ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักกฎหมายกับผู้ทำรัฐประหารเหมือนเป็นผีเน่ากับโลงผุที่ พร้อมจะรับใช้ซึ่งกันและกัน หลักนิติธรรมของรัฐก็ผุกร่อนไปหมด นิติราษฎร์เหมือนดอกบัวที่ผุดขึ้นมากลางตม นักกฎหมายที่ผ่านมาทำให้รัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของสังคมไทย เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยทหารทำลายหลักนิติธรรมให้กลายเป็นหลักนิติกู ใช้ปืนในการคุมอำนาจ เวลามีการรัฐประหารทหารจะวิ่งไปหานักกฎหมายเหล่านี้ ว่ามีอะไรที่จะทำละเมิดกฎหมายหรือไม่
"นักกฎหมายเหล่านี้จะเกลี่ยรอยต่อระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ว่า จะเผด็จการหรือประชาธิปไตย ก็ยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐประหารจึงเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย แต่ต่อมาเกิดมีนักกฎหมายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว จึงเกิดกลุ่มนิติราษฎร์ขึ้นมาทำเรื่องการลบล้างผลพวงรัฐประหาร รูปแบบกิจกรรมของนิติราษฎร์ระยะหลังเริ่มเสนอหัวข้อที่แหลมคมขึ้น เราต้องช่วยกันทำข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่จะลบล้างผลพวงของรัฐประหารเป็นจริง และเปิดพื้นที่ให้กับธรรมศาสตร์เพื่อราษฎร ต่อไป" นายเกษียณ กล่าว
ด้าน นายวรเจตน์ กล่าวว่า แม้การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ได้รับความสนใจมากพอสมควร แต่ก็พบว่ายังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก โดยข้อเสนอล่าสุดที่เสนอยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ก็ส่งผลให้การดำเนินการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ต้องหยุดชะงักลง ข้อเสนอของเราในการยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญได้รับการไตร่ตรองมาดีที่สุดแล้ว เพราะหากยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญก็จะให้หลายสิ่งสามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เราก็จะพยายามผลักดันข้อเสนอของเราอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันเผยแพร่ผลักดันให้ฝ่ายการเมืองนำข้อเสนอของนิติราษฎร์ไปใช้ในอนาคตให้ได้ โดยกิจกรรมที่จะทำต่อไปคือจะเสนอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน
นายวรเจตน์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มนิติราษฎร์เคยเสนอที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาโดยจะนำรัฐ ธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับที่เกิดการรัฐประหาร 8 พ.ย. 2490 มาเป็นแบบอย่าง เพราะรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยตามหลัก สากลยอมรับ หลายคนเข้าใจผิดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แตกต่างจากปี 50 แท้จริงแล้วไม่ต่างเลย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เหมือนกับ ปี 34 และ 50 ทุกตัวอักษร ซึ่งในขณะนี้เรากำลังจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีข้อห้ามที่ว่าแตะต้องหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มีการพูดถึงว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการแตะต้องหมวดสภาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็ยืนยันว่าไม่มีการแตะต้องโดยรัฐธรรมนูญ ปี 50 ห้ามแก้ไข 2 เรื่อง คือรูปแบบของรัฐ และระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าการที่รัฐบาลยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา โดยที่ไม่แตะหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นการกระทำที่มากเกินกว่ารัฐธรรมนูญปี 50 กำหนดไว้ ตนคิดว่า ถ้าอยากให้ประเทศเกิดการปรองดองอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ องคมนตรี องค์กรทางการเมือง ตุลาการ องค์กรอิสระ และกองทัพ เพื่อให้เกิดการปรองดองอย่างแท้จริง โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มนิติราษฎร์ ได้แสดงแนวคิดสู่สาธารณะและนำมาดีเบตเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่ารูปแบบใด ดีกว่ากัน
นายวรเจตน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งมาอย่างชอบธรรม ถือว่ามีอำนาจในทางบริหารอย่างเต็มที่ แต่การบริหารประเทศใน 1 ปีที่ผ่านมา กลับบริหารประเทศแบบกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกลัวเดินไปเหยียบกับระเบิด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะต้องมีความกล้าหาญในการบริหารประเทศมากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมดำเนินอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการเสวนา กลุ่มนักวิชาการนิติราษฎร์ได้อภิปรายวิพากษ์ผลรายงานการศึกษาของคณะกรรมการ อิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) โดย น.ส.สาวิตรี สุขศรี อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คอป.ไม่ใช่ผลพวงของรัฐประหาร แต่เกิดจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของรัฐประหาร ซึ่งในรายงาน 300 หน้าพยายามอธิบายปัญหาที่ คอป. มองถึงปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการสรุปจากปัญหาเอง
ทั้งนี้ในรายงานระบุถึงการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ คือคดีซุกหุ้นเท่านั้น โดยที่ไม่มีการพูดถึงคดีอื่นๆ เลย ประเด็นต่อมาคอป.ยก เรื่องการอ้างสถาบันขึ้นมา โดยระบุว่าควรหยุดอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้มันก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมา ส่วนสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาคอรัปชั่นในรายงานพยายามบอกว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุ แต่ไม่กล่าวถึงองค์กรอื่น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ควรถามกลับไปยัง คอป. อีกทั้งการสรุปเรื่องชายชุดดำ ว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงมองว่าลักษณะการเขียนรายงานเช่นนี้นำไปสู่การตัดสินอะไรบางอย่างว่า ชายชุดดำ คือ เสื้อแดง จึงตั้งข้อสังเกตว่าสรุปรายงานแบบนี้ไม่ได้ เพราะ คอป.ควรสรุปให้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างมากกว่า.
น.ส.สาวิตรี สุขศรี อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อภิปรายวิพากษ์ผลรายงานการศึกษาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่า คอป.ไม่ใช่ผลพวงของรัฐประหารแต่เกิดจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของรัฐประหาร ซึ่งในรายงานพบว่าในจำนวน 300 หน้าพยายามอธิบายปัญหาที่ คอป. มองถึงปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการสรุปปัญหาจากเอง ทั้งนี้ ในรายงานระบุถึงการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ คือคดีซุกหุ้นเท่านั้น โดยที่ไม่มีการพูดถึงคดีอื่นๆ เลย ประเด็นต่อมา คอป.ยกเรื่องการอ้างสถาบันขึ้นมา โดยระบุว่าควรหยุดอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้แล้วเพราะสิ่งเหล่านี้มันก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมา
"ส่วนสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาคอรัปชันในรายงานพยายามบอกว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุ จึงแปลกใจว่าทำไมไม่ยอมบอกว่าศาล ทหาร องค์กรอิสระ รวมถึงองคมนตรี ก็มีปัญหาเรื่องคอรัปชันเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ควรถามกลับไปยัง คอป. อีกทั้งการสรุปเรื่องชายชุดดำ ว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงมองว่าลักษณะการเขียนรายงานเช่นนี้นำไปสู่การตัดสินอะไรบางอย่างว่าชายชุดดำคือเสื้อแดง จึงตั้งข้อสังเกตว่าสรุปรายงานแบบนี้ไม่ได้ เพราะ คอป.ควรสรุปให้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างมากกว่า" น.ส.สาวิตรี กล่าว.