ธรรมชาติของผู้ชายจะพูดน้อยกว่าผู้หญิง (นิดนึง)(สันดานผู้ชาย ผู้หญิงอ่านไว้)
นำเข้าเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2555 โดย คิดให้มากหน่อยก่อนจะตกลง
อ่าน [58576]  

ธรรมชาติของผู้ชายจะพูดน้อยกว่าผู้หญิง (นิดนึง).....

 ผู้ชายขี้บ่น : ปกติขึ้นชื่อว่า “การบ่น”ก็เป็นพฤติกรรมแง่ลบอยู่แล้ว ส่วนใหญ่พวกผู้ชายมักจะใช้ค่อนแคะผู้หญิงในหัวข้อที่ฮิตที่สุดก็คือ จู้จี้ขี้บ่น โดยเฉพาะต่อภรรยาตัวเอง ก็ขนาดพวกคุณผู้ชายด้วยกันเองยังไม่ชอบ แล้วถ้าผู้ชายมาเป็นเสียเอง บ้านนั้นก็คงเป็นบ้านที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ธรรมชาติของผู้ชายจะพูดน้อยกว่าผู้หญิง (นิดนึง)และผู้ชายก็มักจะขอให้ฝ่ายหญิงเลิกจู้จี้ขี้บ่น ลองคิดดูว่า ถ้าบ้านคุณ เปลี่ยนคำบ่นว่า เป็นคำพูดแง่บวก เป็นคำพูดอ่อนหวาน บ้านนั้นจะมีความสุขสักเท่าใด และแน่นอนว่าจะส่งผลและมีอิทธิพลต่อเด็กๆในบ้านนั้นอย่างแน่นอน การบ่นเป็นการคร่ำครวญถึงปัญหาที่เกิดขึ้นรอบๆตัวโดยคำพูดหรือการแสดงกิริยาบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูดเลยก็ได้ เช่น การถอนหายใจแสดงความเบื่อหน่าย หรือเหนื่อยล้าก็ถือว่าเป็นการบ่นอีกประเภทหนึ่ง หรือการชักสีหน้า และแม้กระทั่งดวงตาก็สามารถแสดงอาการบ่นได้“ความสุขเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราหยุดคร่ำครวญถึงปัญหาที่เรามี และเริ่มขอบคุณสำหรับปัญหาที่เราไม่มี” -ถ้าท่านตื่นขึ้นในตอนเช้าและมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ถือว่าท่านโชคดีกว่าคนอีกเป็นล้านที่ไม่มีชีวิตรอดผ่านสัปดาห์นี้ไปได้- ถ้าท่านไม่เคยอยู่ในสภาพสงคราม ไม่เคยติดคุกไม่เคยถูกทรมาณ ไม่เคยอดอยาก ท่านดีกว่าอีก 500 ล้านคนในโลกนี้ -ถ้าท่านอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับ ถูกทรมาณหรือถูกฆ่า ท่านโชคดีกว่าคนอีกสามพันล้านคนในโลกนี้ -ถ้าท่านมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อให้ใส่ อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคาและมีที่ให้หลับนอน ท่านก็ร่ำรวยกว่าคนอีก75% ของโลกนี้ - ถ้าท่านมีเงินในธนาคาร, มีเงินในกระเป๋า,และมีเศษสตางค์ทิ้งไว้ในถ้วยที่ไหนซักแห่ง ท่านก็เป็น1ใน 8%ของประชากรที่รวยที่สุดของโลก - ถ้าพ่อแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ด้วยกัน ถือเป็นเรื่องประเสริฐที่เกิดขึ้นยากมากแม้แต่ในอเมริกาและแคนนาดา -ถ้าท่านได้อ่านข้อความนี้ ถือว่าท่านโชคดี 2 ชั้น ที่มีบางคนคิดถึงท่าน และเหนือกว่านั้น ท่านโชคดีกว่าคนอีกสองพันล้านคนในโลกนี้ที่อ่านไม่ออกเลย หลายครั้งในชีวิตเราก็ไม่ต่างกัน เรามักจะบ่นว่าสิ่งต่างๆ หรือผู้คนรอบข้าง เพราะสิ่งนั้นๆ หรือคนนั้นๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังหรือต้องการ โดยลืมมองถึงสิ่งดีๆที่เรามีอยู่ หรือสิ่งดีๆที่มีอยู่ในคนเหล่านั้น เมื่อเรารู้สึกไม่พึงพอใจในบางสิ่งหรือบางบุคคล ย่อมมีอาการบางอย่างแสดงออก หนึ่งในอาการเหล่านั้นอาจจะเป็นการพูดเพื่อระบายความรู้สึก เช่น -อากาศร้อนจังเลย - งานหนักเหลือเกิน - ทำไมเธอถึงมาช้า -ไม่มีเงินใช้เลย - จนจะตายอยู่แล้ว - ฉันเซ็งความอ้วนของฉันเหลือเกิน ฯลฯ ถ้าเริ่ม “พร่ำบ่น” หรือพูดซ้ำๆซากๆ ถึงสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลาหรือบ่อยๆ ย่อมทำให้คนรอบข้างรู้สึกรำคาญใจ ทั้งๆที่สามารถกลั่นกรองคำพูดโดยพูดให้เหมาะสมและสร้างสรรค์ได้เพียงประโยคเดียว หลายคนชอบพูดทับถมตัวเอง ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการพร่ำบ่น เพราะไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่หรือที่ตนเป็นอยู่ โดยลืมคิดไปว่า บางสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ความสูงของร่างกาย ผิวดำผิวขาวเกินไป โดยเฉพาะผิวดำ ฮิตมาก จนทำให้ผู้นั้นรู้สึกเป็นปมด้อยและขาดความมั่นใจไปเลย เป็นต้น การไม่พึงพอใจในสิ่งนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่นำมาซึ่งความทุกข์ ความหดหู่ใจให้แก่ตนเอง และการพร่ำบ่นในสิ่งนั้นๆ ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่ผู้อื่น การแก้ไขคือ การเรียนรู้ที่จะยอมรับและพึงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันทุกอย่าง ย่อมมีบางอย่างแตกต่างกันไป ทุกคนย่อมมีเอกลักษณ์และคุณค่าในตัวเอง โดยไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบกับใคร ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะไม่มีใครแทนกันได้ การพูดบ่นว่าผู้อื่นเป็นอีกลักษณะหนึ่งของการพูดพร่ำบ่น นับเป็นความสามารถพิเศษที่ไม่ควรนำไปเลียนแบบ เพราะว่าการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่ก่อผลในทางสร้างสรรค์ เนื่องจากผู้ถูกบ่นว่าจะเกิดความรำคาญใจ แทนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เขาบกพร่อง เขาอาจจะตอบโต้ด้วยการกลั่นแกล้งทำสิ่งนั้นต่อไป และด้วยความรุนแรงยิ่งขึ้นก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น คุณผู้ชายบ่นว่าเพื่อนบ้านที่เปิดเพลงเสียงดังว่า“เปิดเพลงให้มันเบาๆลงหน่อยได้มั้ยคุณ บ้านคุณหูตึงกันรึไง ฟังในบ้านคุณคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมาเปิดเสียงดังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นหรอก คนอื่นเขาก็มีปัญญาซื้อเครื่องเสียงมาเปิดฟังเหมือนกัน”แทนที่จะพูดว่า “ช่วยกรุณาหรี่เสียงลงหน่อยได้มั้ยครับ”สั้นๆได้ใจความและมีสิทธิอำนาจ ส่วนคำพูดแบบแรกมีแนวโน้มที่อาจจะได้ยินเสียงเพลงที่ดังขึ้นกว่าเดิมอีกหนึ่งเท่าแล้ว ยังต้องเตรียมรับการทะเลาะวิวาทที่จะตามมาอีกด้วย การบ่นว่าไม่ใช่การแก้ไขปัญหา แต่ควรเป็นการตักเตือนและให้กำลังใจกันจะดีกว่า เราไม่ควรปล่อยให้ความวิตกกังวลจนเกินเหตุของเรามาทำให้เรากลายเป็นคนที่จู้จี้ขี้บ่น ซึ่งจะสร้างความเบื่อหน่ายและก่อความรำคาญให้แก่ผู้อื่น การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุคือ การขจัดความขุ่นเคืองใจออกไป ให้อภัยในส่วนที่เขาทำผิด หรือล้ำเส้นสิทธิของเรา หากขจัดความไม่พึงพอใจในตัวเขาออกไปได้ จิตใจของเราก็จะมีสันติภาพ ไม่รู้สึกว่าต้องคอยต่อสู้ทำร้ายใคร คำพูดบ่นว่า และการจ้องจับผิดก็จะหายไปอย่างเป็นธรรมชาติในที่สุด คนพูดพร่ำบ่นเปรียบเหมือนนักดนตรีที่เล่นโน๊ตเพียงโน๊ตตัวเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมไม่เกิดความไพเราะน่าฟัง กลับกลายเป็นความน่าเบื่อและน่ารำคาญของทุกๆคน ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกของเราต่อบางสิ่งบางบุคคลอย่างถูกต้องและเหมาะสม ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค โดยตระหนักว่าการพูดทวนซ้ำซากในสิ่งเดียวกันนั้นไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นมีน้ำหนักขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับทำให้สิ่งนั้นรกหูคนฟัง ไม่ต่างอะไรกับ “ขยะ”ที่ไม่ว่าใครๆก็ไม่ต้องการ

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้