สิงคโปร์ ประเทศพัฒนาที่อยู่ใกล้ไทยเพียงแค่เอื้อม พาคุณไปเยือนประเทศพื้นที่เล็กๆแต่ความเจริญไม่เล็กตามขนาด เพราะมากด้วยสถาปัตยกรรม ห้างสรรพสินค้าและน้ำใจของผู้คน
การเยือนสิงคโปร์ครั้งนี้เป็นภารกิจเร่งด่วนมีเวลาเพียง 1 วันในประเทศสิงคโปร์ โปรแกรมการท่องเที่ยวจึงค่อนข้างประหยัดเวลา รวมทั้งประหยัดเงินในกระเป๋าอย่างถึงที่สุด แต่รับรองว่าได้เห็นประเทศสิงคโปร์แบบเน้นๆ ไม่ใช่แค่กินลอดช่องแล้วมาคุย!!!
คมนาคมเป็นเลิศ
พอลงถึงสนามบิน ชางกี ประเทศสิงคโปร์ปุ๊ปก็ขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมืองไม่ให้เสียเวลา ซึ่งขอบอกเลยว่าทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ที่นี่เขาน่าโดยสารมากทีเดียว กว้างขวางใหญ่โต อีกทั้งไม่มีผู้โดยสารเบียดเสียดวุ่นวาย และที่สำคัญขับช้าไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่อกฎหมายกำหนดเป๊ะๆ จอดครบทุกป้ายตามเวลาที่กำหนด โดยราคาโดยสารจะคิดตามระยะทาง แต่ขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือเท่ากับ 25 บาท แต่สำหรับคนอยากเที่ยวแบบมีสตางค์ จะโบกแท็กซี่ก็เตือนสักเล็กน้อยว่า ค่ามิเตอร์ค่อนข้างแพง (มาก) หากคิดเป็นเงินไทย ยิ่งเรียกหลังเวลาเที่ยงคืนไปแล้วจะคิดค่ามิเตอร์เพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์
รถไฟฟ้าใต้ดินก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งสะดวกสบายและราคาไม่แพงจนน่าตกใจ โดยวิธีการใช้ก็คล้ายๆ กับเมืองไทย เดินไปที่ตู้อัตโนมัติ เลือกจุดหมายปลายทาง ใส่เงินตามกำหนด (คิดค่าธรรมเนียมไปแล้ว 1 ดอลลาร์) แล้วจะได้เหรียญพลาสติกคล้ายใช้บริการที่ประเทศไทย เพียงแต่เหรียญพลาสติกนี้สามารถแลกคืนเป็นเงินค่าธรรมเนียมในราคา 1 ดอลลาร์ได้เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่หวังจะตระเวนให้ทั่ว ใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า ขอแนะนำให้ซื้อบัตร Ez-Link สามารถซื้อได้เคาน์เตอร์ Passenger Service ค่าซื้อใบละ 12 ดอลลาร์ฯ ค่าธรรมเนียมบัตร 5 เหรียญ มีเงินใช้ทั้งหมด 7 เหรียญ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องต่อแถวซื้อตั๋วให้ยุ่งยาก
คนใจดีแต่พูดเข้าใจยาก
ประเทศแห่งเศรษฐกิจอย่างสิงคโปร์ ไม่น่าเชื่อว่าประชากรของเขาจะเปี่ยมล้นด้วยน้ำใจ หากเดินหลงทางที่ไหน ถามคนเดินผ่านไปผ่านมาก็จะได้รับรอยยิ้มพร้อมคำอธิบาย แต่คำพูดที่ออกมาแม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางของคนทั่วโลก แต่สำเนียงจะฟังยาก เพราะปนสำเนียงจีนอย่างชัดเจน ขนาดเสียงที่ประกาศตามสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ยังจับใจความลำบากว่าพูดอะไร
เมืองสวยงามและน่าอยู่
แม้จะเป็นเพียงประเทศขนาดเล็ก และไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แต่ชาวสิงคโปร์ก็สามารถสร้างสถานที่ท่องเที่ยวให้ดึงดูดคนทั่วโลกได้อยู่หมัด เริ่มต้นที่ เมอร์ไลออน รูปปั้นสิงโตทะเลสีขาว ดาราประจำชาติสิงคโปร์ ถ้าใครมาไม่ได้ถ่ายรูปคู่ด้วยเท่ากับมาไม่ถึงแดนลอดช่อง ทั่วทั้งเกาะสิงคโปร์ มีทั้งหมด 3 ตัว ตัวใหญ่ที่สุดจะตั้งอยู่ที่เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ถัดจากโรงแรมเดอะฟูลเลอร์ตันมานิดหน่อย (ข้ามถนนมา) ก็คือที่ เมอร์ไลออนพาร์ค (Merlion Park) นั่นเอง ทั้งนี้แม้จะเยี่ยมเจ้าสิงโตพ่นน้ำยามกลางคืนก็ไม่ต้องกลัวมองไม่เห็น เพราะเขาจะเปิดไปให้ส่องสว่างสวยงามไปอีกแบบ
วิวบนสะพานด้านหน้าของเมอร์ไลออนพาร์ค มองไปก็เห็นตึกทุเรียน หรือโรงละครเอสพลานาด และก็เห็น Singapore Flyer หรือชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก ถ้ามีโอกาสได้ขึ้นไปก็็เห็นวิวสิงคโปร์แบบพาโนรามาในราคา 30 เหรียญ (750 บาท)
ข้าวยาก ลอดช่องแพง
ก่อนเดินทางมาเยือนเมืองสิงโตทะเลพ่นน้ำ ทุกคนเตือนว่าให้พกน้ำมาส่วนตัวอย่าคิดซื้อกินตามร้านค้าต่างๆ เพราะราคาแพงหูฉี่ ซึ่งคำแนะนำนี้ได้ประโยชน์แต่ควรเติมคำลงไปเพิ่มอีกว่า 'พกอาหารแห้ง น้ำดื่มและเงินมาเยอะๆ' เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างในสิงคโปร์แพงจริงไม่อิงนิยาย ถ้าเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ นมสด 1 ขวดที่เดินดื่มในไทยเพียง 15 บาท เดินดื่มในสิงคโปร์ก็บวกไปอีกหนึ่งเท่าตัว หรือถ้ารับประทานอาหารสักจาน ก็เตรียมเงินให้มากกว่า 10 ดอลลาร์สิงคโปร์ (เท่ากับ 250 บาท) ไว้ได้เลย ขนาดข้าวมันไก่ยังมีราคาราว 20 เหรียญเลยทีเดียว
เก็บตกเล็กๆ น้อยๆ ของสิงคโป๊...สิงคโปร์
1. การแต่งตัวของคนสิงคโปร์ไม่แตกต่างจากคนไทยตามสยามสักเท่าไหร่
2. อากาศบ้านเขาร้อนและแดดแรงกว่าบ้านเรามากทีเดียว เตรียมร่มติดตัวไว้น่าจะปลอดภัยกับผิวพรรณที่สุด
3. ห้างสรรพสินค้าที่นั่นใหญ่โตมโหฬาร เลือกเดินได้ไม่อั้น มีครบทุกแบรนด์เล็กแบรนด์ระดับโลก อีกทั้งซื้อแล้วไปคืนภาษีได้ที่สนามบิน
4. ตามถนนและสถานีรถไฟใต้ดิน จะมีการตกแต่งด้วยภาพวาด รูปวาด กระเบื้องประดิษฐ์ มองแล้วเพลินตาสวยสะดุดตาไปอีกแบบ
5. ส่วนใหญ่วัยหนุ่มสาวจะทำงานออฟฟิศ ด้านคนมีอายุจะทำงานใช้แรงงาน ถ้าเห็นคนแก่เกิน 60 ปีวาดถนนอยู่ก็อย่าตกใจไป
6. ถนนทุกเส้น ฟุตปาธทุกแห่งสะอาดสะอ้าน ไม่มีขยะหรือกับระเบิดเหม็นๆ ให้เดินสะดุดเลยแม้แต่น้อย