ในวิถีแห่งพุทธนั้น"ความตาย" เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง
นำเข้าเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2555 โดย julaju
อ่าน [58541]  

ในวิถีแห่งพุทธนั้น"ความตาย" เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง.....

ในวิถีแห่งพุทธนั้น"ความตาย" เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคลต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้ ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย ในด้านหนึ่งความ "กลัวตาย" จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิตคือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
(แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนและจะมาเมื่อไร) การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาวและเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา ในวัฒนธรรมของชาวพุทธการหมั่นเจริญมรณานุสติคือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง
ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย
เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต
ด้วยการเอาความตายเป็นทางออกโดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหา
ที่เผชิญนั้น ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไป
ตราบที่ยังมีลมหายใจ

 

กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้

อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกัน
หลายช่วงอายุ การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะธรรมเนียม
การเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ การตั้งศพ - เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญของการส่งผ่าน "สัจธรรมแห่งการตาย" ให้แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้ ไม่ว่าบทสวดต่าง ๆ ของพระ
ซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล
พิธีตัดทางกล้วยเพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ ล้วนส่งผ่าน
ความเชื่อว่าความตายมิใช่ "การสิ้นสุด" หรือจบสิ้น จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป
โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา เพื่อให้ญาติพี่น้องคลาย
ความเศร้าโศกเพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว เกิดความปลงสังเวช
ตัดอาลัยในรูปกาย รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ การเรียนรู้นี้
มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติ
แก่คนทั้งชุมชนด้วย จากการมาร่วมพิธีกรรมต่างๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึก
เอื้ออาทรและทรัพยากรที่ตนเองมีเพื่อช่วยจัดการศพ มีการขอขมาและการให้
อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้
ควรให้อภัยแก่กันและกัน และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ ก็เป็นโอกาสให้
คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกันเฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกายที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้ เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ

 

สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรม ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อ

ในเรื่องเกี่ยวกับความตาย เลือนหายไป ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย จะมานึกถึงต่อเมื่อความตาย
เข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย 
"ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรม
ไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว
หากจะต้องมีรูปแบบหรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ จนเกิดความ"ประจักษ์แก่ใจ" ในสัจธรรมร่วมกัน ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเอง,

สังคม, โลก สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ


 

อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จ

ในครั้งเดียว ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ อยากมี
อยากเป็นให้สุดๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง
(ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน) แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์ที่พยายามจะต่อสู้
แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ และทุรนทุรายจากความพยายามที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้
แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้ง
นรกและสวรรค์ในเวลาเดียว ขึ้นอยู่กับว่า เราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร
การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิดและการใช้ชีวิตในสังคม
จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้

บางทีการได้เจริญมรณานุสติอาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า ได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลานและมนุษยชาติไปเนิ่นนาน

ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว
 

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้