โอเน็ต ของนักเรียนชั้น ม.6 จึงคะแนนตกต่ำลงเรื่อยๆ
นำเข้าเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2555 โดย หลงทาง
อ่าน [58525]  

โอเน็ต ของนักเรียนชั้น ม.6 จึงคะแนนตกต่ำลงเรื่อยๆ .....

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ อะไรคือสาเหตุที่ผลการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ของนักเรียนชั้น ม.6 จึงคะแนนตกต่ำลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผลสอบล่าสุดปีการศึกษา 2554 ที่คะแนนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยเกือบทุกวิชาใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะครั้งนี้มีนักเรียนสอบได้คะแนนต่ำสุดเป็น "ศูนย์" ในทุกวิชา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ นักวิชาการด้านการศึกษา และวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับข้อสอบโอเน็ตให้กับครูอาจารย์ในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งของรัฐและเอกชน ได้ให้ทรรศนะต่อปัญหาดังกล่าว เหตุใดผลการสอบโอเน็ตของนักเรียนในระดับชั้นต่างๆ จึงตกต่ำลงมาก ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งเป้าว่าจะต้องเพิ่มให้ได้อย่างน้อย 3% ในปีการศึกษา 2554 ?สาเหตุมาจากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด หรือระดับความรู้ของนักเรียนที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กำหนดไว้ กับการสอนจริงของผู้สอนในโรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงส่งผลให้ความรู้ที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียนอยู่ในระดับขั้นต่ำกว่าเกณฑ์ และยังส่งผลให้ผลการสอบวัดโอเน็ตไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานไปด้วยตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด คือการกำหนดให้นักเรียนผ่านการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การแสดงออกในการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาอย่างมีแบบแผนด้วยตัวของผู้เรียนเอง ส่วนการสอนของครู ต้องออกแบบการสอนที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่นักเรียนต้องคิด ปฏิบัติ และแก้ปัญหา เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้สรุปความรู้ ความคิดรวบยอดจากการคิด การปฏิบัติ และสรุปเป็นหลักการด้วยตนเอง จึงจะตรงตามจุดประสงค์ที่มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกำหนดแต่ในสภาพจริงการสอนของครูไม่ได้มีการออกแบบการเรียนรู้ที่ใช้คำถามนำไปสู่การพานักเรียนคิดและลงมือทำด้วยตัวของผู้เรียนเอง แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการสอนแบบอธิบาย บอกเล่า ให้ท่องจำเนื้อหาที่ครูต้องการให้จำให้ครบถ้วน ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การคิด การปฏิบัติ และการแก้ปัญหา สมองจึงไม่เรียนรู้ ไม่พัฒนา นักเรียนจึงสร้างความรู้เองไม่เป็น- แสดงว่าโรงเรียนต่างๆ ยังไม่เข้าใจนิยามการให้นักเรียนสร้างความรู้เอง ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการเรียนการสอนอย่างไร จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ ?

 "ยังมีโรงเรียนจำนวนมากที่ยังเข้าใจไม่ชัดเจนว่า ความรู้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนหลังจากที่ได้เรียนรู้ผ่านขั้นตอนระดับการคิดวิเคราะห์ขึ้นไป ซึ่งผลที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนเหล่านี้กลายเป็นความรู้ในระดับต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียนแต่ละคน ระดับความรู้ของนักเรียนแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกัน ไม่เท่ากัน แต่ครูผู้สอนส่วนใหญ่กลับเข้าใจว่า เนื้อหาต่างๆ ทั้งจากในหนังสือเรียนก็ดี จากสื่อต่างๆ รวมถึงสิ่งที่นักเรียนได้พบได้เห็นนั้น เป็นความรู้ที่นักเรียนสามารถท่องจำ เพื่อให้กลายเป็นความรู้ของนักเรียน ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลดิบทั้งสิ้น ยกเว้นข้อเท็จจริงบางส่วน ข้อมูลทั้งหลายจะกลายเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อนักเรียนนำข้อมูลเหล่านั้นมาจัดกระทำให้เกิดความหมาย ด้วยการนำมาคิดวิเคราะห์และลงมือปฏิบัติเอง หลังคิด หลังปฏิบัติ นักเรียนจึงเกิดความเข้าใจว่าผลนั้นเกิดจากการคิดแบบใด ปฏิบัติใช้กระบวนการและแบบแผนใด ผลของความเข้าใจถึงจะกลายเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียนแต่ละคน

 

- ผลการสอบโอเน็ตของนักเรียนที่ตกต่ำ เป็นเพราะข้อสอบยากเกินความรู้เด็กที่เรียนมาจริงหรือไม่ ?

 

ตอบได้เลยว่า ข้อสอบไม่ได้ยาก นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อสอบได้ง่ายๆ ถ้าครูสอนให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูงได้ ข้อสอบโอเน็ตนั้น วัดความรู้ตามระดับที่ตัวชี้วัดกำหนด ซึ่งความรู้ตามตัวชี้วัด ก็คือความรู้อันเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการที่ครูผู้สอนออกแบบ ตามแนว Backward Design (กระบวนการที่ครูผู้สอนตั้งเป้าหมายหรือผลสำเร็จที่ต้องการไว้ก่อน แล้วย้อนกลับไปหาแนวทางและวิธีการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้) ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ และเรียกวิธีสอนหรือกระบวนการที่นำมาออกแบบแล้วนั้นว่า กิจกรรมการเรียนรู้

ดังนั้น ครูผู้สอนจึงต้องให้ความสำคัญกับกิจกรรมการเรียนรู้ให้มากที่สุดกับการสอนจริง นักเรียนก็จะเกิดความรู้อย่างมีคุณภาพแน่นอน

 

แต่ถ้าไปมุ่งสอนแต่ให้จำเพียงเนื้อหา จำตัวอย่าง จำรูปแบบ หรือจำแบบแผนเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าถึงความรู้ ปัญหาจึงไม่สามารถแก้ที่ตัวนักเรียนเพียงด้านเดียว แต่ต้องช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอนมีวิธีสอนให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวข้างต้น จึงจะสนองเป้าหมายของหลักสูตร และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้อย่างยั่งยืน- หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ที่กระทรวงศึกษาธิการใช้อยู่ในขณะนี้ โรงเรียนได้นำมาใช้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ ?

 โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแล้ว นักเรียนยังไม่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ก็ถือว่ายังใช้หลักสูตรไม่สมบูรณ์ ขอให้ยึดหลักการสำคัญว่า เรียนอะไรคือเนื้อหา เรียนอย่างไรคือการออกแบบวิธีเรียนโดยใช้ผ่านกระบวนการ

เกิดความรู้ใดคือเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุปความรู้ ความคิดรวบยอดครบทุกมิติคุณภาพ และสรุปหลักการได้ตรงตามที่ตัวชี้วัดกำหนดด้วยตนเอง คุณภาพระดับใดคือการจัดทำเกณฑ์มิติคุณภาพเพื่อเป็นเป้าหมายของการพัฒนาให้นักเรียน

มีคุณภาพในระดับที่สูงขึ้น โอเน็ตวัดความรู้ใด ก็คือวัดความรู้ตามตัวชี้วัด ซึ่งเป็นความรู้อันเกิดจากกระบวนการ แต่อาจจะวัดความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาประมาณ 10-20% เท่านั้น

 นอกนั้นเป็นการวัดความรู้ตั้งแต่ระดับการคิดวิเคราะห์ขึ้นไป ดังนั้น ถ้าการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนใดยังมุ่งสอนแต่เนื้อหา แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนเหล่านั้นยังไม่รู้จักหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 อย่างแท้จริง จึงเป็นโรงเรียนที่ยังไม่ได้ใช้หลักสูตรอย่างสมบูรณ์นั่นเอง ต้องช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเครื่องมือการจัดการเรียนรู้ให้กับครูผู้สอนให้มาก

- จะทำอย่างไรให้ผลสัมฤทธิ์การสอบโอเน็ตของนักเรียนเพิ่มขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ?

ขอให้โรงเรียนตรวจสอบศักยภาพที่แท้จริงของตนเองว่า มีศักยภาพหรือไม่ ถ้ามี อยู่ระดับใด ศักยภาพนั้นต้องเป็นภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ภาพลวงตา เช่น ถ้าดูศักยภาพด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้ดูศักยภาพนักเรียนทุกคนว่า มีความรู้ครบทั้งด้านเก่งคิด เก่งดี เก่งปฏิบัติ  มีค่านิยมมุ่งมั่นให้ผลนั้นส่งประโยชน์ไปถึงสังคมได้จริงหรือไม่ ค่าเฉลี่ยของผลการสอบโอเน็ตของนักเรียนทุกคนทั้งโรงเรียนอยู่ในเกณฑ์ระดับใด ค่าเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ระดับชาติหรือไม่ ถ้าต่ำกว่าแสดงว่ามาตรฐานระดับโรงเรียนยังต้องพัฒนาอีกมาก และยังต้องยกระดับคุณภาพให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับเขตพื้นที่การศึกษา และเกณฑ์มาตรฐานระดับชาติ อีกทั้งยังมีเกณฑ์มาตรฐาน

 อีกหลายระดับที่โรงเรียนต้องไปให้ถึง เช่น มาตรฐานระดับอาเซียน และมาตรฐานระดับสากลที่เป็นเป้าหมายสำคัญ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอย่างจริงจังและเร่งด่วน

 เครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมครูผู้สอนอย่างเป็นระบบได้ ก็คือแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการออกแบบการเรียนรู้ตามแนวทาง Backward Design โดยใช้กระบวนการ GPAS และมีเกณฑ์มิติคุณภาพ เพื่อใช้ประเมินคุณภาพการแสดงออกของนักเรียนตามสภาพจริง ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กำหนด จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ อีกทั้งการยกระดับคุณภาพผู้เรียนเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ทุกโรงเรียนต้องเร่งพัฒนา เพื่อให้คุณภาพนักเรียนมีมาตรฐานระดับสากล ซึ่ง

ขณะนี้มีโรงเรียนจำนวนมากยังไม่มั่นใจว่าจะไปถึงได้อย่างไร ใช้เวลาอีกนานเท่าใด และจะสายเกินไปหรือไม่

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้